Page 114 - รายงานฉบับสมบูรณ์ เหลียวหลังแลหน้า 2 ทศวรรษ สิทธิมนุษยชนในสังคมไทย
P. 114
การพัฒนาทรัพยากรบุคคล
ในยุคแรกของการก่อตั้งองค์กร ข้าราชการที่ปฏิบัติงานในสำนักงานฯ นั้นมาจากการ
โอนย้าย จึงทำให้การปฏิบัติภารกิจในการเข้าสู่สนามที่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชน เพื่อหาข้อเท็จจริง
และนำข้อเท็จจริงมาเขียนเป็นรายงานนั้นยังไม่มีความเชี่ยวชาญมากนัก จึงเกิดสภาพของการ
ทำงานที่ผู้ให้ข้อมูลคนหนึ่งเรียกว่า “on the job training”
“ในตอนนั้นเป็นข้าราชการที่โอนย้ายมาจากหลายหน่วยงาน เราจึง
ต้องทำงานกันแบบที่เรียกว่า “on the job training คือยินดีที่จะเรียนรู้ไป
ด้วยกันในระหว่างที่ทำงาน คือการลงพื้นที่ไปทำงานด้วยกัน” (สัมภาษณ์
KI003, 14 พฤศจิกายน 2564)
การฝึกปฏิบัติงานไปพร้อมกับการทำงานจริงอย่าง “On the job training” อาจช่วยแก้ไข
ปัญหาเฉพาะหน้าในตอนนั้นได้ก็จริง แต่ทว่า “สิทธิมนุษยชน” เป็นแนวคิดที่ต้องทำความเข้าใจทั้ง
ด้าน “หลักการ” และ “คุณค่า” ด้วยเช่นเดียวกัน ดังนั้นจึงพบความไม่เข้าใจในองค์ความรู้ด้านสิทธิ
มนุษยชนเป็นปัญหาสำคัญสำหรับการทำงานเพื่อสนับสนุนคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนอยู่บ้าง
ดังนั้นแล้ว การพัฒนาทั้งในเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ จำนวนบุคลากรที่เพียงพอและ
ศักยภาพของบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญจะเป็นส่วนสำคัญไม่มากก็น้อยในการเป็นหน่วยสนับสนุน
ในการขับเคลื่อนงานสิทธิมนุษยชนในสังคมไทยของ กสม.
มีเสียงสะท้อนจำนวนมากที่ให้ข้อมูลอย่างตรงไปตรงมาในเรื่องบุคลากรว่ายังมีช่องว่างและ
สิ่งที่ควรจะเติมเต็มอีกมากมาย ดังเช่นข้อมูลจากผู้ให้สัมภาษณ์คนนี้ที่กล่าวว่า
“ต้องยอมรับเลยว่าข้อจำกัดแรกคือบุคลากรไม่ได้มีความเชี่ยวชาญใน
เรื่องสิทธิมนุษยชนในทุกเรื่อง เพราะเรื่องที่มีความเฉพาะมาก ๆ อย่างเช่น
เรื่องที่ดิน ความจริงมันไม่ได้เป็นเรื่องของการมีสิทธิในที่ดิน มันเป็นเรื่อง
ของสิทธิที่อยู่อาศัย ที่ไปเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ดินและการบริหารจัดการที่ดิน
เรื่องการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งมีกฎหมายหลายฉบับ เช่น กฎหมาย
อนุรักษ์ หรือเรื่องการพิสูจน์ว่าใครอยู่ในพื้นที่นั้นมาก่อน เรื่องของการแปลง
ภาพถ่ายทางอากาศ ซึ่งต้องใช้ความรู้เฉพาะด้าน และถึงแม้กสม.จะเป็น
ผู้เชี่ยวชาญก็ตาม แต่มันมีความซับซ้อน จึงต้องมีการศึกษาอย่างละเอียด
ก่อนที่จะให้คนข้างนอกมาทำงานโดยที่กสม.เองไม่มีความรู้ด้านนี้เลย และ
กสม.มีบุคลากรค่อนข้างน้อย ถ้าไม่นับสำนักคุ้มครองกับส่งเสริมที่เป็นสำนัก
หลัก แต่ละสำนักจะมีเจ้าหน้าที่วิชาการประมาณ 10 คน…ศักยภาพของ
สำนักงานไม่ใช่เพียงเรื่องปริมาณของบุคลากร แต่เรื่องของทักษะความรู้
และความเชี่ยวชาญในเรื่องสิทธิก็เป็นเรื่องจำเป็น ซึ่งส่วนตัวคิดว่าคนที่มี
ความเข้าใจเรื่องสิทธิจริงๆ นั้นหายาก และที่เข้าใจได้อย่างถูกต้องก็ยิ่งยาก
ที่เข้าใจคลาดเคลื่อนไปก็ยังมี…เมื่อถึงเวลาที่จะต้องเอาหลักการมาวินิจฉัย
ได้อย่างมีหลักการและมีความเหมาะสมพอดิบพอดีกับสถานการณ์ ส่วนนี้
เป็นสิ่งที่ยากมาก ” (สัมภาษณ์ IKI002, 8 กุมภาพันธ์ 2565)
โดยในเชิงปริมาณคือบุคลากรไม่เพียงพอนั้นมีข้อกังวลสำคัญที่ว่าหากมีการเปลี่ยน
โครงสร้างองค์กรนั้น จะต้องเพิ่มจำนวนเจ้าหน้าที่เพิ่มมากขึ้น เพื่อรองรับการทำงานเชิงรุกของก
สม. เพราะมิเช่นนั้นแล้วการทำงานเชิงรุกแบบที่ขาดอัตรากำลังคนก็จะวนกลับไปสู่โครงสร้างองค์กร
แบบเดิม คือ การไม่สามารถเคลียร์คำร้องได้ (เหมือนในกสม.ชุดที่ 1)
-107-