Page 109 - รายงานฉบับสมบูรณ์ เหลียวหลังแลหน้า 2 ทศวรรษ สิทธิมนุษยชนในสังคมไทย
P. 109

การทำงานของกสม.เสมอมา และเนื่องจาก “ภารกิจด่วน” ของกสม. ที่มีมาอย่างไม่หยุดหย่อน
                    องค์กรจึงมุ่งเน้นต่อการตอบสนองในลักษณะของ “หน้างาน” มากกว่าการปรับปรุงโครงสร้างของ
                    องค์กรอย่างแท้จริง ทำให้ปัญหานี้ถูกสะสมมาเป็นเวลาเนิ่นนาน นับตั้งแต่การเกิดขึ้นของกสม. ใน
                    ยุคแรก
                           ตัวอย่างของเสียงสะท้อนที่มีความชัดเจนต่อคำว่า “หน้างาน” คือการทำงานในรูปแบบของ
                    อนุกรรมการที่เป็นอำนาจหน้าที่ของ กสม. ที่สามารถปฏิบัติได้ตามที่กฎหมายให้อำนาจไว้ และ
                    กสม. ชุดแรกได้เลือกใช้กลไกและรูปแบบนี้ในการทำงาน โดยอนุกรรมการ
                           “อนุกรรมการ” คือ รูปแบบการทำงานที่เป็นเสมือนตัวช่วยหรือตัวเชื่อมในการทำงาน
                    ระหว่างกสม. และเจ้าหน้าที่ในยุคแรก เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างชาวบ้านผู้ถูกละเมิดสิทธิและกสม.
                    และยังคอยสนับสนุนการทำงานของเจ้าหน้าที่โดยในเวลานั้นองค์กรคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน
                    แห่งชาติมีสถานะเป็นองค์กรอิสระที่เกิดขึ้นมาเป็นครั้งแรกในประเทศไทยและมีเหตุผลในการเลือกใช้
                    รูปแบบอนุกรรมการตามบทสัมภาษณ์หนึ่งดังนี้
                                      “ในชุดนั้นไม่เห็นด้วยกับการตั้งสาขาเพราะว่าอำนาจของกรรมการ
                                 สิทธิที่มีไม่มากนั้นย่อมปะทะกับอำนาจของหน่วยงานรัฐในทุกระดับ และ
                                 สาขาไม่มีอำนาจตามกฎหมายและไม่มีเครดิตมากพอที่จะดำเนินการ เราจึง
                                 เลือกใช้บทบาทของอนุกรรมการฯ การทำงานของสำนักงานฯ และบวกด้วย
                                 เครือข่ายของผู้ร้องเรียนที่จะช่วยกันทำงาน” (สัมภาษณ์ KI004, 14
                                 พฤศจิกายน 2564)


                           แต่เมื่อได้เลือกและมีการใช้รูปแบบอนุกรรมการอย่างเป็นรูปธรรมแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นภายใน
                    สำนักงานคือความขัดแย้งหรือความขัดกันในมุมมองและวิธีการทำงานที่แตกต่างกัน ดังบท
                    สัมภาษณ์นี้


                                      “...คือเมื่อชาวบ้านมายื่นเรื่องร้องเรียนที่สำนักงานฯ มันจะมีหลาย
                                 ทางในการปฏิบัติเช่น สำนักงานฯ จะส่งเรื่องไปให้กรรมการ เมื่อกรรมการ
                                 เห็นชอบแล้วส่งไปให้อนุกรรมการอีกวิธีหนึ่งคือให้สำนักงานฯ ส่งให้
                                 อนุกรรมการ แล้วอนุกรรมการจะพิจารณาเองว่าจะรับหรือไม่รับ มันมีการ
                                 เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาในสองวิธีการอยู่อย่างนี้ครับ รวมทั้งประเด็นที่ว่า
                                 สำนักงานฯ จะเป็นคนกลั่นกรองเองว่าจะรับหรือไม่รับ จากสภาพที่เล่ามานี้
                                 ทำให้ตอนนั้นมีความขัดแย้งกัน มีบุคลากรในสำนักงานฯ บางท่านไม่เห็น
                                 ด้วยกับการที่กรรมการจะมาทำงานเอง เห็นว่ากรรมการควรทำหน้าที่เป็น
                                 บอร์ด แล้วคนที่ทำงานคือสำนักงานฯ สำนักงานจะตั้งอนุกรรมการหรือไป
                                 สอบสวน ไปหาความจริง แล้วก็เสนอเรื่องให้กรรมการพิจารณา แต่ในฟาก
                                 ของกรรมการก็คิดเห็นไปอีกแบบว่ามันเป็นอำนาจของกรรมการโดยตรงที่
                                 จะสามารถตั้งอนุกรรมการไปลงพื้นที่ ประเด็นนี้เป็นความขัดแย้งหนัก
                                 ทีเดียว ขัดแย้งกันไปถึงการมีประเด็นการปลดบุคลากรภายในสำนักงานฯ
                                 เลยครับ…” (สัมภาษณ์ KI015, 17 พฤศจิกายน 2564)

                           ท่ามกลางสภาพปัญหาความขัดแย้งและความเห็นต่างในวิธีการทำงานในขณะนั้น จึงเกิด
                    สภาพของการทำงานไปขัดแย้งไปพร้อมทั้งยังเกิดเป็นความคิดเห็นหรือบทสะท้อนที่มีต่อรูปแบบ
                    อนุกรรมการอย่างหลากหลายทั้งข้อดีและข้อเสีย (อย่างไรก็ตามในโครงสร้างปัจจุบันนี้เรื่อง
                    อนุกรรมการได้ถูกถอดออกไปแล้ว แต่สามารถแต่งตั้งที่ปรึกษาหรืออนุกรรมการได้ในกรณีที่จำเป็น
                    เท่านั้น) ข้อดีคือการได้สร้างเสริมพลัง (empower) ให้กับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ในขณะที่ตามมา


                                                           -102-
   104   105   106   107   108   109   110   111   112   113   114