Page 163 - รายงานการศึกษาวิจัยฉบับสมบูรณ์ สิทธิชุมชนในการจัดสรรทรัพยากรน้ำโดยใช้แนวทางสันติวิธี : กรณีศึกษาพื้นที่ต้นน้ำของประเทศไทย
P. 163
146
1) ควรมีการฟื้นฟูป่าต้นน้้า โดยประชาชนไม่ควรจะปล่อยให้สภาพป่าฟื้นตัวเองตามธรรมชาติ
ในหลายพื้นที่โครงการปลูกป่าไม่ได้ช่วยให้ป่ายั่งยืน เนื่องจากเมื่อปลูกป่าแล้วก็ไม่ได้รับการดูแล
การดูแลธรรมชาติไม่ใช่การปลูกป่าเพิ่ม แต่ควรจะปล่อยพื้นที่ไว้ให้ระบบธรรมชาติพื้นฟูตัวเอง
ด้วยการปลูกพืชคลุมดินรักษาความชื้นของผิวดินอย่างการปลูกหญ้าแฝก การปลูกกล้วยป่า เพื่อรักษา
ความชื้นของพื้นดินให้ได้ก่อนที่จะน้าไม้ยืนต้นไปปลูก และการปลูกป่าควรจะมีการดูแลพื้นที่ปลูก
อย่างต่อเนือง โดยมีการจัดการร่วมกันกับชาวบ้านในพื้นที่ ให้ประชาชนในพื้นที่เป็นผู้ดูแลป่าโดยต้อง
ได้รับประโยชน์ร่วมกัน เช่น การส่งเสริมการปลูกกาแฟในพื้นที่ป่า การปลูกโกโก้ เป็นต้น
2) การลดพื้นที่ปลูกพืชเชิงเดียวอย่างข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และยาสูบ โดยภาคเอกชนควรจะงด
รับซื้อผลิตผลทางการเกษตรที่ปลูกในพื้นที่เขตป่าอนุรักษ์ ควรจะมีการขึ้นทะเบียนพื้นที่ปลูกอย่างเป็น
ระบบ และจ้ากัดการรับซื้อเฉพาะผลผลิตที่มาจากแหล่งปลูกที่มีหลักฐานการถือครองที่ถูกต้อง
3) การมีส่วนร่วมของภาคประชาชน ด้านการแก้ปัญหา ประชาชาชนที่อยู่ในพื้นที่ควรจะมี
บทบาทในการอนุรักษ์ทรัพยากรน้้าร่วมกัน โดยเฉพาะจังหวัดน่านเป็นจังหวัดที่ประชาชนมีความ
เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กันและพึ่งพากันเองในชุมชนที่สูง ประชาชนมีความเป็นอยู่อย่างเรียบง่าย มีศาสนา
พุทธเป็นที่เคารพศรัทธาของคนในพื้นที่ พระสงฆ์เป็นผู้น้าทางจิตวิญญาณที่มีส่วนอย่างมากต่อการ
แก้ปัญหาในหลายพื้นที่ เช่น การท้าโครงการบวชป่าต้นน้้า การประกาศเขตพื้นที่อภัยทานห้ามจับสัตว์น้้า
เป็นต้น
4) การปลูกฝังเด็กและเยาวชนความตระหนักรู้ถึงสิ่งแวดล้อม การน้าเด็กและเยาวชนมา
อบรมหลักทางศาสนาและสอดแทรกเนื้อหาการอนุรักษ์ทรัพยากรนับเป็นการให้การศึกษาที่ได้ผล
อย่างมากต่อการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติในอนาคต และเป็นแนวทางการบริหารจัดการน้้าที่
จะช่วยลดต้นทุนภาครัฐในการอนุรักษ์ป่าอนุรักษ์พื้นที่ต้นน้้าได้เป็นอย่างดี โดยมีทั้งมหาวิทยาลัยสงฆ์
น่าน ที่เป็นสถาบันการศึกษาที่ส้าคัญที่ช่วยสนับสนุนให้เกิดรูปแบบการอนุรักษ์ที่เกิดจากประชาชนคน
รากหญ้า นอกจากนี้ ในส่วนกลุ่มพระสงฆ์ที่ท้างานในพื้นที่ร่วมกับผู้น้าชุมชนในเขตพื้นที่อ้าเภอเวียงสา
อย่างวัดบุญยืนพระอารามหลวง โดยมีพระ (สมุสมาน) แสดงบทบาทน้าโดยการเป็นแกนน้าที่ส้าคัญใน
การให้ความรู้แก่ประชาชนในการด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรน้้า เป็นต้น
5.3 ผลการศึกษาจากเวทีรับฟังความคิดเห็นผู้เกี่ยวข้องและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
การจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจาก 3 กลุ่ม ได้แก่ ชุมชนลุ่มน้้าชี จังหวัด
ชัยภูมิ ชุมชนลุ่มน้้าน่าน จังหวัดน่าน และกลุ่มเชี่ยวชาญและผู้ทรงคุณวุฒิที่เกี่ยวข้องกับการจัดการ
ทรัพยากรในพื้นที่ต่าง ๆ โดยผู้เข้าร่วมครอบคลุมจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม
นักวิชาการ และชาวบ้านในพื้นที่ศึกษา และเนื่องจากสถานการณ์การแพร่โรคระบาด Covid-19