Page 162 - รายงานการศึกษาวิจัยฉบับสมบูรณ์ สิทธิชุมชนในการจัดสรรทรัพยากรน้ำโดยใช้แนวทางสันติวิธี : กรณีศึกษาพื้นที่ต้นน้ำของประเทศไทย
P. 162

145



                       ลงทะเบียนเพื่อขอจัดตั้ง “กลุ่มผู้ใช้น้้าน่านและว้า” กับจังหวัดน่านโดยมี “กลุ่มรักษ์ป่าน่าน” ซึ่งเป็น
                       หน่วยงานภาคเอกชนที่ให้ความส้าคัญต่อการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ซึ่งเป็นต้นก้าเนิดของแม่น้้าน่าน

                       และมณฑลทหารบกที่ 38 (ค่ายสุริยพงษ์) เป็นพี่เลี้ยงเพื่อการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้และทรัพยากรน้้า

                       เนื่องจากเล็งเห็นความส้าคัญว่า “จังหวัดน่านเป็นพื้นที่ต้นน้้า” ดังนั้น เพื่อคงความอุดมสมบูรณ์หรือ
                       ลดความเสียหายที่เกิดจากพิบัติภัยทางน้้าจึงต้องให้ความส้าคัญกับพื้นที่ต้นน้้า

                              (3) กลุ่มนักวิชาการและเครือข่ายในพื นที่ สรุปประเด็นส้าคัญดังนี้

                              สถานการณ์ปัจจุบัน ประชาชนส่วนใหญ่ในพื้นที่อาศัยน้้าจากแหล่งน้้าฝนเป็นหลักในการท้า
                       การเกษตร นอกนั้นอาศัยน้้าจากการขุดเจาะบาดาลมาใช้ประโยชน์ มีเพียงพื้นที่บางส่วนที่อาศัยล้าน้้า

                       น่านในการสูบน้้าขึ้นมาใช้ท้าการเกษตร ประชาชนในพื้นที่จะอาศัยการปลูกพืชไร่ เป็นหลัก ได้แก่

                       ข้าวโพด ยางพารา ล้าไยและยาสูบ เนื่องจากโดยสภาพพื้นที่ในเขตต้าบลไหล่น่านและต้าบลกลางเวียง
                       เป็นพื้นที่ปราการด่านสุดท้ายที่ต้องรับน้้ามาจากสายน้้าน่านที่ไหลมาจากประเทศสาธารณรัฐ

                       ประชาธิปไตยประชาชนลาว ก่อนที่จะกระจายไหลลงพื้นที่ด้านล่างในเขตจังหวัดแพร่ และไหลต่อไป

                       ยังพื้นที่ภาคกลาง ท้าให้แต่ละปีมีน้้าท่วมขังในเขตพื้นที่เป็นปริมาณมาก โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝน และ
                       มีน้้าท่วมขังเพิ่มมากขึ้นทุกปี ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมาระดับความรุนแรงของปัญหาเพิ่มมากขึ้น

                       ทุกปี ประชาชนต้องรับความเดือดร้อนทั้งในด้านที่อยู่อาศัย และพืชผลทางเกษตรถูกน้้าท่วมอย่าง

                       หนัก  ปัญหาดังกล่าวแทบจะไม่ลดลงเลยเนื่องจากไม่มีระบบชลประทานที่จะรองรับในการแก้ปัญหา
                       น้้าท่วม ประกอบกับสภาพพื้นที่เป็นพื้นที่ลุ่ม น้้าไหลมาจากพื้นที่สูงก็มาสะสมอยู่ในเขตพื้นที่อ้าเภอ

                       เวียงสา กลายเป็นพื้นที่รับน้้าก่อนที่จะกระจายไปสู่เขตพื้นที่ด้านล่าง

                              ด้านความขัดแย้ง จากปัญหาการเข้าถึงแหล่งน้้า แม้ว่าปัจจุบันปัญหาจะไม่ได้มีความขัดแย้ง
                       รุนแรง แต่สภาพปัญหาหลักที่เกิดขึ้นจากอุทกภัยที่เพิ่มมากขึ้นทุกปี คนพื้นที่น่านต้องกลายเป็นจ้าเลย

                       ทางสังคมเนื่องจากบางส่วนเข้าใจว่าประชาชนที่ท้าไร่ในเขตพื้นที่จังหวัดน่านเป็นผู้ก่อให้เกิดปัญหา

                       อุทกภัยรุนแรงจากการปลูกพืชเชิงเดี่ยวอย่างข้าวโพดที่ต้องอาศัยพื้นทีเพาะปลูกจ้านวนมาก และได้
                       ท้าลายพื้นที่ป่าต้นน้้า ท้าให้เมื่อฝนตกมากขึ้นไม่สามารถชะลอการไหลของน้้า ปริมาณน้้าในแต่ละปีจึง

                       เพิ่มมากขึ้น คนน่านจึงมักถูกคนในพื้นที่ด้านล่างเข้าใจว่าเป็นผู้ที่ก่อให้เกิดความรุนแรงของปัญหา

                       อย่างไรก็ตาม ปัญหาดังกล่าวก้าลังได้รับแก้ไขจากการเข้ามาช่วยเหลือของหลายหน่วยงานโดยการเข้า
                       มาส่งเสริมท้าการเกษตรที่หลากหลายเพื่อลดการบุกรุกพื้นที่ป่าต้นน้้า

                              การแก้ปัญหา หลายหน่วยงานได้เข้ามาช่วยเหลือพื้นที่จังหวัดน่านทั้งในรูปแบบการพื้นฟู

                       สภาพป่าต้นน้้าให้กลับคืนสภาพในการเป็นพื้นที่กักเก็บน้้าก่อนที่จะไหลมาสู่พื้นที่ด้านล่าง โดยเฉพาะ
                       การเกิดโครงการปิดทองหลังพระตามแนวพระราชด้าริที่หลายหน่วยงานได้เข้ามาส่งเสริมอาชีพและ

                       การปลูกพืชทางเศรษกิจที่ไม่ท้าลายสิ่งแวดล้อมและให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ทั้งนี้
                       แนวทางแก้ปัญญาควรจะประกอบด้วยหลักการดังนี้
   157   158   159   160   161   162   163   164   165   166   167