Page 105 - รายงานการศึกษาวิจัยฉบับสมบูรณ์ สิทธิชุมชนในการจัดสรรทรัพยากรน้ำโดยใช้แนวทางสันติวิธี : กรณีศึกษาพื้นที่ต้นน้ำของประเทศไทย
P. 105

88



                              ประการที่หนึ่ง สิทธิด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้้าเป็นเรื่องที่ผูกพันกับข้อกฎหมายของ
                       การจัดการทรัพยากรน้้าในแต่ละประเทศ ซึ่งเมื่อพิจารณาเกี่ยวเนื่องกับการบังคับใช้กฎหมายและการ

                       ควบคุมการบริหารจัดการทรัพยากรน้้าของประเทศไทยจะมีกฎหมายในการจัดการทรัพยากรน้้า

                       โดยเฉพาะ คือ“พระราชบัญญัติทรัพยากรน้้า พ.ศ. 2561” แต่สภาพการบริหารจัดการน้้าก็ยังไม่เกิด
                       ประสิทธิภาพเท่าที่ควร ประการส้าคัญกฎหมายฉบับนี้พยายามที่รวบอ้านาจการจัดการไปอยู่ในมือ

                       ภาครัฐเพียงฝ่ายเดียว โดยอ้างเหตุผลเพื่อการจัดการทรัพยากรน้้าให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งมี

                       การตั้งคณะกรรมการที่มีอ้านาจในการดูแลจัดการทรัพยากรน้้าอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดตาม พ.ร.บ. นี้
                       เรียกว่า “คณะกรรมการทรัพยากรน้้าแห่งชาติ” เรียกโดยย่อว่า “กนช.” มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน

                       นอกจากนี้ ในส่วนการดูแลลุ่มน้้าในภูมิภาคก็มีคณะกรรมการที่มาจากตัวแทนหน่วยงานภาครัฐแทบ

                       ทั้งสิ้น
                              นอกจากนี้ พระราชบัญญัตินี้มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจ้ากัดสิทธิและเสรีภาพของ

                       บุคคล ซึ่งได้แก่มาตรา 26 ประกอบกับมาตรา 33 มาตรา 37  มาตรา 40 มาตรา 42 และมาตรา

                       43(3) ได้ระบุไว้อย่างชัดเจนถึงการจ้ากัดสิทธิในการบริหารจัดการทรัพยากรน้้า โดยการจ้ากัดสิทธิ
                       ดังกล่าวเพื่อให้การบริหารทรัพยากรน้้าทั้งในมิติด้านการจัดสรร การใช้ การพัฒนา การบริหารจัดการ

                       การบ้ารุงรักษา การฟื้นฟู การอนุรักษ์ และสิทธิในน้้ามีประสิทธิภาพและประสิทธิผล อันจะเป็น

                       ประโยชน์แก่การบริการ สาธารณูปโภคและประโยชน์สาธารณะอย่างอื่น จากสภาพการณ์ดังกล่าว
                       สะท้อนปัญหาเจตนารมย์ทางกฎหมายที่พยายามจะละเลยสิทธิของทั้งปัจเจกบุคคลและสิทธิชุมชน

                       โดยอ้างเหตุผลด้านประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ

                              เมื่อพิจารณาสถานะทางกฎหมายของสิทธิชุมชนที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน แม้ว่าจะมีการรับรอง
                       ถึงสิทธิตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ซึ่งประกาศใช้เมื่อวันที่ 6 เมษายน

                       พ.ศ. 2560 โดยให้การรับรอง “สิทธิของบุคคลและชุมชน” ซึ่งเมื่อพิจารณารายละเอียดแล้วกลับพบว่า

                       ชุมชนท้องถิ่นและชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิมหายไปจากบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญปี พ.ศ. 2550 และ พ.ศ.
                       2540 ที่ปรากฏสิทธิชุมชนเป็นครั้งแรกแม้ว่าเจตนารมณ์ของกฎหมายจะไม่ได้ละสิทธิชุมชนและสิทธิ

                       ชุมชนท้องถิ่น แต่การไม่บัญญัติไว้โดยตรงอาจท้าให้เชิงคุณค่าความส้าคัญของชุมชนท้องถิ่นและชุมชน

                       ท้องถิ่นดั้งเดิมลดทอนลงได้ (ชาติชาย วิริยะเจริญกิจ และสุรัสวดี แสนสุข, 2560) ดังนั้นจะเห็นได้ว่า
                       กฎหมายทั้งในด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้้าโดยตรง และกฎหมายรัฐธรรมนูญก็ได้ให้ความ

                       ชัดเจนในเรื่องการให้สิทธิแก่ชุมชน โดยพยายามที่จะลดบทบาทของชุมชนลงไปโดยเฉพาะชุมชน

                       ท้องถิ่นดั้งเดิมออกไปจากบทบัญญัติเดิม
                              ประการที่สอง เมื่อพิจารณากฎหมายระหว่างประเทศและตัวอย่างในต่างประเทศ มีความ

                       จ้าเป็นอย่างยิ่งในการน้ามาพิจารณาเพื่อเป็นตัวอย่างในการบังคับใช้กฎหมายภายใน ในกฎหมาย
                       ระหว่างประเทศมุ่งเน้นในการรักษาสิทธิในที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติของชนพื้นเมืองดั้งเดิมที่อยู่
   100   101   102   103   104   105   106   107   108   109   110