Page 17 - ประมวลข้อเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครอง สิทธิมนุษยชน รวมทั้งการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายเพื่อให้สอดคล้อง
P. 17

ประมวลข้อเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน
                                                      รวมทั้งการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายเพื่อให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชน
                                            ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ระหว่าง ตุลาคม ๒๕๕๙ – ธันวาคม ๒๕๖๐


                  กฎหมายเป็นไปตามเจตนารมณ์และหลักธรรมาภิบาล และสอดคล้องกับหลักการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน
                  มากยิ่งขึ้น จึงเห็นควรให้พิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติในมาตรา ๗ วรรคสาม และมาตรา ๘

                  แห่งร่างพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. .... ให้ค านึงถึงหลักการจัดซื้อ
                  จัดจ้างภาครัฐอย่างยั่งยืนด้วย


                         ๔.๒ บทก าหนดโทษ

                             กฎหมายอาญาเป็นบทบัญญัติที่มีผลกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของบุคคล เนื่องจากมีการ

                  ก าหนดบทลงโทษที่มุ่งหมายต่อสิทธิในชีวิตร่างกายและเสรีภาพของบุคคล คือ โทษประหารชีวิต โทษจ าคุก
                  โทษกักขัง และบทลงโทษที่มุ่งหมายต่อทรัพย์สินของบุคคล คือ โทษปรับ โทษริบทรัพย์สิน ด้วยเหตุนี้การ

                  บัญญัติกฎหมายอาญาจึงต้องมีลักษณะที่พิเศษแตกต่างจากฎหมายอื่น โดยเป็นหลักการสากลคือ “ไม่มี
                  ความผิด ไม่มีโทษ หากไม่มีกฎหมาย (Nullum crimen nulla poena sine lege)”


                             หลักการนี้เป็นหลักการสากลอันเป็นที่ยอมรับในนานาอารยประเทศ อันได้แก่ ปฏิญญาสากล
                  ว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ข้อ ๑๑ (๒) กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ข้อ ๑๕

                  ซึ่งประเทศไทยเป็นภาคีสมาชิกและมีพันธกรณีระหว่างประเทศ และประเทศไทยได้มีการรับรองหลักการนี้

                  ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๓๙ ซึ่งยังคงได้รับการคุ้มครองตาม
                  รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ มาตรา ๔ อีกทั้ง ประมวลกฎหมาย

                  อาญาได้มีการก าหนดหลักการนี้ไว้ในมาตรา ๒ วรรคแรก บัญญัติว่า “บุคคลจักต้องรับโทษในทางอาญา
                  ต่อเมื่อได้กระท าการอันกฎหมายที่ใช้ในขณะกระท านั้นบัญญัติเป็นความผิดและก าหนดโทษไว้ และโทษที่

                  จะลงแก่ผู้กระท าความผิดนั้นต้องเป็นโทษที่บัญญัติในกฎหมาย” โดยมีหลัก ๕ ประการ คือ ๑) ผู้กระท าไม่

                  ต้องรับผิดในทางอาญา หากการกระท านั้นไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้ในขณะกระท าว่าเป็นความผิดและ
                  ก าหนดโทษไว้ ๒) กฎหมายอาญาจะย้อนหลังให้ผลร้ายมิได้ ๓) ถ้อยค าในกฎหมายอาญาจะต้องบัญญัติให้

                  ชัดเจนแน่นอนปราศจากความคลุมเครือ การที่จะต้องให้กฎหมายมีความชัดเจนแน่นอนนั้นเพื่อให้
                  ประชาชนผู้ซึ่งอยู่ภายใต้กฎหมายมีโอกาสได้รู้ล่วงหน้าว่า การกระท าหรือไม่กระท าของเขาเป็นความผิด
                                                                                                /บทบัญญัติ ....
                  หรือไม่ นอกจากบทบัญญัติในส่วนที่เกี่ยวกับความผิดจะต้องบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดแล้ว บทบัญญัติในส่วน

                  ที่เกี่ยวกับโทษก็จะต้องแจ้งชัดด้วยว่าการกระท าที่ถือว่าเป็นความผิดนั้นๆ จะได้รับโทษสถานใด และ
                  ๔) กฎหมายอาญาต้องตีความโดยเคร่งครัด


                                ๔.๒.๑ บทก าหนดโทษตามร่างพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุ
                  ภาครัฐ พ.ศ. .... (อยู่ระหว่างการพิจารณาในชั้นวาระที่สอง ของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ)





                         ๕
                           เกียรติขจร วัจนะสวัสดิ์, ค าอธิบายกฎหมายอาญา ภาค ๑ บทบัญญัติทั่วไป, พิมพ์ครั้งที่ ๑๐ (กรุงเทพมหานคร
                  : ส านักพิมพ์พลสยาม พริ้นติ้ง (ประเทศไทย), ๒๕๕๑), หน้า ๑๖ – ๓๑.




                                                            ๑๓
   12   13   14   15   16   17   18   19   20   21   22