Page 20 - ประมวลความเห็นทางกฎหมาย ระหว่างวันที่ 1 มิถุนายน 2559 ถึงวันที่ 15 สิงหาคม 2560
P. 20
๑๘
๒.๒ เกี่ยวกับบทบัญญัติในพระราชบัญญัติแกไขเพิ่มเติมบทบัญญัติแหงกฎหมาย
ที่เกี่ยวกับความรับผิดในทางอาญาของผูแทนนิติบุคคล พ.ศ. ๒๕๖๐
พระราชบัญญัติแกไขเพิ่มเติมบทบัญญัติแหงกฎหมายที่เกี่ยวกับความรับผิดในทางอาญา
ของผูแทนนิติบุคคล พ.ศ. ๒๕๖๐ มีบทบัญญัติจํานวน ๓ มาตรา โดยความในมาตรา ๓ ของพระราชบัญญัติ
ฉบับนี้ ไดบัญญัติใหยกเลิกความในมาตราแหงประมวลกฎหมาย พระราชบัญญัติและพระราชกําหนด
จํานวน ๗๖ ฉบับ และใหใชความตามที่ปรากฏในบัญชีทายพระราชบัญญัตินี้แทนตามลําดับ ซึ่งไดเปลี่ยน
หลักการในเรื่องความรับผิดของผูแทนนิติบุคคลตามบทสันนิษฐานของกฎหมายทั้ง ๗๖ ฉบับ ที่มีปญหาวา
ขัดหรือแยงตอรัฐธรรมนูญ
เดิมประมวลกฎหมาย พระราชบัญญัติ และพระราชกําหนดที่บัญญัติถึงความรับผิด
ทางอาญาของผูแทนนิติบุคคล จํานวนกวา ๗๖ ฉบับ ไดมีบทมาตราที่ระบุไวในทํานองเดียวกันวา “ในกรณี
ที่ผูกระทําความผิดที่ตองรับโทษเปนนิติบุคคล ใหกรรมการผูจัดการ หุนสวนผูจัดการ หรือผูแทนนิติบุคคล
หรือผูซึ่งมีสวนรวมในการดําเนินงานของนิติบุคคล ตองรับโทษตามที่บัญญัติไวสําหรับความผิดนั้นๆ ดวย
เวนแตจะพิสูจนไดวา การกระทํานั้นไดกระทําโดยตนมิไดรูเห็นหรือยินยอมหรือตนไดจัดการตามสมควร
เพื่อปองกันมิใหเกิดความผิดนั้นแลว” ซึ่งขอสันนิษฐานในกฎหมายจํานวน ๗๖ ฉบับดังกลาว เปนขอ
สันนิษฐานตามกฎหมายที่มีผลเปนการสันนิษฐานความผิดของจําเลย โดยโจทกไมจําตองพิสูจนใหเห็นถึง
การกระทําหรือเจตนาอยางใดอยางหนึ่งของจําเลยกอน เปนการนําการกระทําความผิดของบุคคลอื่น
มาเปนเงื่อนไขของการสันนิษฐานใหจําเลยมีความผิดและตองรับโทษทางอาญา ซึ่งขัดกับหลัก Due Process
13
of Law (นิติกระบวน) เนื่องจากการสันนิษฐานวา ถาผูกระทําความผิดเปนนิติบุคคล ก็ใหกรรมการ
ผูจัดการ ผูจัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดําเนินงานของนิติบุคคลนั้นตองรวมรับผิดกับ
นิติบุคคลผูกระทําความผิดดวย เวนแตจะพิสูจนไดวาตนไมไดมีสวนรูเห็นเปนใจในการกระทําความผิดของ
นิติบุคคลดังกลาว โดยโจทกไมจําตองพิสูจนถึงการกระทําหรือเจตนาของกรรมการผูจัดการ ผูจัดการ หรือ
บุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดําเนินงานของนิติบุคคลนั้นวามีสวนรวมเกี่ยวของกับการกระทําความผิด
ของนิติบุคคลอยางไร คงพิสูจนแตเพียงวานิติบุคคลกระทําความผิดตามกฎหมายดังกลาว และจําเลย
เปนกรรมการผูจัดการ ผูจัดการ หรือบุคคลซึ่งรับผิดชอบในการดําเนินงานของนิติบุคคลนั้นทั้งหมดทุกคน
อันเปนการอาศัยสถานะของบุคคลมาเปนเงื่อนไขความรับผิดทางอาญา โดยไมตองมีการพิสูจนเจตนาหรือ
การมีสวนรวมในการกระทําผิดนั้น ศาลรัฐธรรมนูญไดมีคําวินิจฉัยที่ ๑๒/๒๕๕๕ ที่ ๕/๒๕๕๖ ที่ ๑๐/๒๕๕๖
ที่ ๑๑/๒๕๕๖ และที่ ๑๙ - ๒๐/๒๕๕๖ วินิจฉัยวา บทบัญญัติแหงกฎหมายที่สันนิษฐานความผิดของ
ผูตองหาและจําเลยในคดีอาญาโดยอาศัยสถานะของบุคคลเปนเงื่อนไขนั้น มิใชการสันนิษฐานขอเท็จจริง
ที่เปนองคประกอบความผิดเพียงบางขอหลังจากที่โจทกไดพิสูจนใหเห็นถึงการกระทําอยางใดอยางหนึ่ง
ที่เกี่ยวของกับความผิดที่จําเลยถูกกลาวหา และยังขัดกับหลักนิติธรรม ขอที่วาโจทกในคดีอาญาตองมี
ภาระการพิสูจนถึงการกระทําความผิดของจําเลยใหครบองคประกอบของความผิด นอกจากนี้ บทบัญญัติ
ที่มีขอสันนิษฐานดังกลาวยังเปนการนําบุคคลเขาสูกระบวนการดําเนินคดีอาญาใหตองตกเปนผูตองหา
และจําเลย ซึ่งทําใหบุคคลดังกลาวอาจถูกจํากัดสิทธิและเสรีภาพ เชน การถูกจับกุม หรือคุมขัง โดยไมมี
13 หลัก Due Process of Law หรือ นิติกระบวน หมายถึง การปกครองโดยกฎหมาย ทุกคนตองอยูภายใตบังคับ
แหงกฎหมายไมวาจะเปนผูปกครอง เจาหนาที่ของรัฐ ตองกระทําการโดยชอบดวยกฎหมาย ทุกคนมีความเสมอภาคกันในทางกฎหมาย