Page 21 - ประมวลความเห็นทางกฎหมาย ระหว่างวันที่ 1 มิถุนายน 2559 ถึงวันที่ 15 สิงหาคม 2560
P. 21
๑๙
พยานหลักฐานตามสมควรในเบื้องตนวาบุคคลนั้นไดกระทําการหรือมีเจตนาประการใดอันเกี่ยวกับ
ความผิดตามที่ถูกกลาวหา บทบัญญัติของกฎหมายดังกลาวในสวนที่สันนิษฐานความผิดอาญาของผูตองหา
หรือจําเลยโดยไมปรากฏวาผูตองหาหรือจําเลยไดกระทําการหรือมีเจตนาประการใดเกี่ยวกับความผิดนั้น
จึงขัดตอหลักนิติธรรมและขัดหรือแยงตอรัฐธรรมนูญแหงราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐
มาตรา ๓๙ วรรคสอง
พระราชบัญญัติแกไขเพิ่มเติมบทบัญญัติแหงกฎหมายที่เกี่ยวกับความรับผิด
ในทางอาญาของผูแทนนิติบุคคล พ.ศ. ๒๕๖๐ จึงไดบัญญัติขึ้นมาแกไขหลักความรับผิดทางอาญา
ของผูแทนนิติบุคคลเสียใหม โดยยกเลิกบทสันนิษฐานความรับผิดของกรรมการผูจัดการ ผูจัดการ หรือ
บุคคลที่รับผิดชอบในการดําเนินงานของนิติบุคคลในกฎหมายทั้ง ๗๖ ฉบับ ใหมีเนื้อความใหมในบทมาตรา
เดิมของกฎหมายดังกลาว โดยมีสาระสําคัญที่สอดคลองกันทั้ง ๗๖ ฉบับ ในทํานองที่วา “ในกรณีที่
ผูกระทําความผิดเปนนิติบุคคล ถาการกระทําความผิดของนิติบุคคลนั้นเกิดจากการสั่งการหรือ
การกระทําของกรรมการผูจัดการ หรือผูจัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดําเนินงาน
ของนิติบุคคลนั้น หรือในกรณีที่บุคคลดังกลาวมีหนาที่ตองสั่งการหรือกระทําการและละเวนไมสั่งการ
หรือไมกระทําการจนเปนเหตุใหนิติบุคคลนั้นกระทําความผิด ผูนั้นตองรับโทษตามที่บัญญัติไวสําหรับ
ความผิดนั้นๆ ดวย”
พิจารณาเนื้อหาของพระราชบัญญัติฉบับนี้แลวเห็นวา มีสาระสําคัญที่ระบุถึงการกระทํา
ที่เปนองคประกอบความผิดทางอาญาของผูที่เปนกรรมการผูจัดการ หรือผูจัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบ
ในการดําเนินงานของนิติบุคคลนั้น ซึ่งเปนผูมีอํานาจกระทําการผูกพันนิติบุคคลตามกฎหมายแพง จะตอง
รับผิดทางอาญาตอเมื่อ มีการกระทําการหรือมีการสั่งการอยางใดอยางหนึ่งจนเปนเหตุใหนิติบุคคลกระทํา
ความผิดอาญา หรือละเวนไมสั่งการหรือไมกระทําการอยางใดอยางหนึ่งในกรณีที่มีบทบัญญัติ
ของกฎหมายนั้นกําหนดใหกรรมการผูจัดการ หรือผูจัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดําเนินงาน
ของนิติบุคคลนั้น มีหนาที่ตองสั่งการ หรือกระทําการอยางใดเพื่อมิใหนิติบุคคลกระทําความผิดอาญา
ซึ่งการบัญญัติถึงสาระสําคัญเชนนี้เปนการบัญญัติถึงการกระทําที่เปนความผิดโดยชัดแจง ที่มิใชขอ
สันนิษฐานความรับผิดตามกฎหมายอยางที่ไดบัญญัติไวเดิมในกฎหมาย ๗๖ ฉบับ มีผลทําใหภาระการพิสูจน
ความบริสุทธิ์หรือความผิดของผูตองหาหรือจําเลย เปนหนาที่ของโจทกที่จะตองนําพยานหลักฐานมา
นําสืบใหศาลสิ้นสงสัยวาจําเลยเปนผูกระทําการอยางใดหรือละเวนกระทําการอยางใดตามที่กฎหมาย
บัญญัติไวชัดแจงวาเปนความผิด ซึ่งเปนไปตามหลักการพื้นฐานของระบบงานยุติธรรมทางอาญาสากล
14
และสอดคลองตามหลักทั่วไปในประมวลวิธีพิจารณาความอาญาของไทย มาตรา ๒๒๗ กลาวคือ
นอกจากโจทกจะตองพิสูจนวานิติบุคคลกระทําความผิดตามที่กฎหมายบัญญัติไว และจําเลยเปนกรรมการ
ผูจัดการ หรือผูจัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดําเนินงานของนิติบุคคลนั้นแลว โจทกยังตอง
พิสูจนถึงการกระทําของจําเลยซึ่งเปนบุคคลดังกลาว ทั้งตองมีพยานหลักฐานตามสมควรในเบื้องตนวา
บุคคลนั้นไดกระทําการหรือมีเจตนาประการใดอันเกี่ยวกับความผิดตามที่ถูกกลาวหา อันเปนการคุมครอง
14 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๒๗ บัญญัติไววา “ใหศาลใชดุลพินิจวินิจฉัยชั่งน้ําหนัก
พยานหลักฐานทั้งปวง อยาพิพากษาลงโทษจนกวาจะแนใจวามีการกระทําผิดจริงและจําเลยเปนผูกระทําความผิดนั้น
เมื่อมีความสงสัยตามสมควรวาจําเลยไดกระทําผิดหรือไม ใหยกประโยชนแหงความสงสัยนั้นใหจําเลย”