Page 280 - รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ เรื่อง กฎหมายว่าด้วยความเสมอภาคและการไม่เลือกปฏิบัติ
P. 280
กฎหมายว่าด้วยความเสมอภาคและการไม่เลือกปฏิบัติ
คดีที่มีกำรอ้ำงว่ำ พระรำชบัญญัติจัดตั้งศำลปกครองและวิธีพิจำรณำคดีปกครอง พ.ศ.
๒๕๔๒ มำตรำ ๕๑ ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๕๔๐ มำตรำ ๒๘ และ ๓๐ หรือไม่
ศำลรัฐธรรมนูญพิจำรณำแล้วเห็นว่ำ มำตรำ ๕๑ ดังกล่ำวเป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับเรื่องระยะเวลำกำรฟ้องคดีที่ก�ำหนด
ให้ผู้ฟ้องคดีที่มีข้อพิพำทเกี่ยวกับกำรกระท�ำละเมิดหรือควำมรับผิดอย่ำงอื่น ตำมมำตรำ ๙ วรรคหนึ่ง (๓) และคดี
พิพำทเกี่ยวกับสัญญำทำงปกครอง ตำมมำตรำ ๙ วรรคหนึ่ง (๔) จะต้องยื่นฟ้องคดีต่อศำลปกครองภำยในหนึ่งปีนับ
แต่วันที่รู้หรือควรรู้ถึงเหตุแห่งกำรฟ้องคดี ศำลรัฐธรรมนูญเห็นว่ำรัฐธรรมนูญ มำตรำ ๓๐ เป็นบทบัญญัติให้บุคคล
ทุกคนย่อมเสมอกันในกฎหมำย และได้รับกำรคุ้มครองโดยเท่ำเทียมกันในกฎหมำยที่บุคคลนั้นถูกบังคับใช้อยู่ กล่ำว
คือ หำกผู้ฟ้องคดีน�ำคดีมำขึ้นสู่ศำลปกครอง กระบวนวิธีพิจำรณำควำมก็ย่อมมีควำมเท่ำเทียมกันกับบุคคลอื่นที่
น�ำคดีมำขึ้นสู่ศำลปกครองเช่นเดียวกัน มำตรำ ๕๑ ดังกล่ำวจึงมิได้ให้สิทธิแก่บุคคลที่จะฟ้องคดีต่อศำลปกครองให้
แตกต่ำงกัน จึงมิได้ขัดรัฐธรรมนูญฯ มำตรำ ๓๐ แต่อย่ำงใด (ค�ำวินิจฉัยศำลรัฐธรรมนูญที่ ๑๑/๒๕๕๐)
กรณีที่ผู้เช่ำซื้อรถยนต์ของกลำง อ้ำงว่ำไม่มีส่วนร่วมหรือรู้เห็นเป็นใจให้มีกำรน�ำรถยนต์
ดังกล่ำวไปใช้ในกำรกระท�ำควำมผิดตำมกฎหมำยเกี่ยวกับยำเสพติดแต่อย่ำงใด รวมทั้งอ้ำงว่ำกำรริบรถยนต์ดังกล่ำวตำม
พระรำชบัญญัติมำตรกำรในกำรปรำบปรำมผู้กระท�ำควำมผิดเกี่ยวกับยำเสพติด พ.ศ. ๒๕๓๔ มำตรำ ๓๐ วรรค
สองและวรรคสี่ เป็นบทบัญญัติที่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๕๔๐ มำตรำ ๓๐
ศำลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ำ กฎหมำยดังกล่ำวเป็นบทบัญญัติที่ก�ำหนดกระบวนกำรทำงกฎหมำยเพื่อเปิดโอกำสให้
บุคคลผู้เป็นเจ้ำของทรัพย์สินที่ถูกศำลสั่งริบในคดียำเสพติด ใช้สิทธิร้องคัดค้ำนค�ำร้องขอให้ริบทรัพย์สินของ
พนักงำนอัยกำรได้ จึงเป็นบทบัญญัติแห่งกฎหมำย มีผลใช้บังคับต่อบุคคลเป็นกำรทั่วไปโดยเสมอกัน
ไม่ได้ยกเว้นให้ใช้บังคับกับบุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือท�ำให้บุคคลไม่ได้รับควำมเสมอกัน ในกฎหมำยหรือ
ไม่ได้รับควำมคุ้มครองตำมกฎหมำยเท่ำเทียมกัน และไม่เป็นกำรเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคล
แต่อย่ำงใด บทบัญญัติดังกล่ำวจึงไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๕๔๐ มำตรำ
๓๐ (ค�ำวินิจฉัยศำลรัฐธรรมนูญที่ ๑/๒๕๕๑)
คดีที่มีประเด็นว่ำ พระรำชบัญญัติจุฬำลงกรณ์มหำวิทยำลัย พ.ศ. ๒๕๕๑ เป็นกำรเลือก
ปฏิบัติและขัดต่อรัฐธรรมนูญนั้น ศำลวินิจฉัยว่ำ ... บทบัญญัติดังกล่ำวจึงเป็นบทบัญญัติที่ก�ำหนดสำระส�ำคัญเกี่ยวกับ
กำรบริหำรงำนบุคคล ทรัพย์สิน และรำยได้ของจุฬำลงกรณ์มหำวิทยำลัย เพื่อให้กำรบริหำรจัดกำรจุฬำลงกรณ์
มหำวิทยำลัยมีควำมเป็นอิสระและมีควำมคล่องตัว สอดคล้องกับหลักกำรบริหำรจัดกำรของหน่วยงำนในก�ำกับของ
รัฐซึ่งไม่เป็นส่วนรำชกำรและรัฐวิสำหกิจ ...โดยบทบัญญัติดังกล่ำว ใช้บังคับแก่บุคคลที่เกี่ยวข้องตำมที่กฎหมำย
ก�ำหนดโดยเสมอกันและไม่มีลักษณะเป็นกำรเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมตำมรัฐธรรมนูญ มำตรำ ๓๐ แต่อย่ำง
ใด” (ค�ำวินิจฉัยศำลรัฐธรรมนูญที่ ๓๑/๒๕๕๕)
จำกคดีทั้ง ๕ ดังกล่ำวข้ำงต้นจะเห็นได้ว่ำกฎหมำยที่พิพำทมิได้มีลักษณะเป็นกำรเลือกปฏิบัติด้วยเหตุ
ต่ำง ๆ ของกำรเลือกปฏิบัติ แต่เป็นกรณีตัวอย่ำงของกำรที่ผู้ร้องอ้ำงว่ำกฎหมำยมีลักษณะเป็นกำรเลือกปฏิบัติด้วย
เหตุที่กว้ำงกว่ำเหตุแห่งกำรเลือกปฏิบัติตำมกฎหมำยสิทธิมนุษยชน อย่ำงไรก็ตำม แม้ศำลตัดสินว่ำไม่เป็นกำรเลือก
ปฏิบัติแต่ก็มิได้วินิจฉัยชัดเจนลงไปว่ำกรณีนี้ไม่เกี่ยวข้องกับ “เหตุแห่งกำรเลือกปฏิบัติ” โดยศำลให้เหตุผลว่ำกฎหมำย
ดังกล่ำวมีผลใช้บังคับกับทุกคนเท่ำเทียมกัน ซึ่งเป็นเหตุผลอันสอดคล้องกับหลักกำรเลือกปฏิบัติโดยตรงนั่นเอง
279