Page 277 - รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ เรื่อง กฎหมายว่าด้วยความเสมอภาคและการไม่เลือกปฏิบัติ
P. 277
ส�ำนักงำนคณะกรรมกำรสิทธิมนุษยชนแห่งชำติ
ท�ำให้สำมีภริยำต้องเสียภำษีเพิ่มขึ้นจำกกรณีที่ต่ำงฝ่ำยต่ำงแยกยื่นเมื่อยังไม่มีกำรสมรส ประกอบกับมำตรำ ๕๗ เบญจ
บัญญัติให้แต่เฉพำะภริยำที่มีเงินได้พึงประเมินตำมมำตรำ ๔๐ (๑) สำมำรถแยกยื่นรำยกำร และเสียภำษีต่ำงหำกจำก
สำมี โดยมิให้ถือว่ำเป็นเงินได้ของสำมีตำมมำตรำ ๕๗ ตรี จึงถือว่ำเป็นกำรไม่ส่งเสริมควำมเสมอภำคของชำยและหญิง
และยังเป็นกำรเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคลเพรำะเหตุแห่งควำมแตกต่ำงในเรื่องสถำนะของบุคคลภำยหลัง
จำกกำรสมรส ตำมที่ได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ มำตรำ ๓๐...” (ค�ำวินิจฉัยศ�ำลรัฐธรรมนูญที่ ๑๗/๒๕๕๕) จะเห็น
ได้ว่ำ ในคดีนี้ศำลรัฐธรรมนูญได้ตัดสินอย่ำงสอดคล้องกับหลักควำมเท่ำเทียมกันและกำรห้ำมเลือกปฏิบัติ เนื่องจำก
กฎหมำยดังกล่ำวก่อให้เกิดควำมไม่เท่ำเทียมกันด้วยเหตุแห่ง “สถำนะของบุคคลภำยหลังกำรสมรส”
กรณีพระรำชบัญญัติสัญชำติ พ.ศ. ๒๕๐๘ ไม่ได้ให้สิทธิแก่ชำยต่ำงด้ำวที่สมรสกับหญิงไทยใน
กำรที่จะได้สัญชำติ โดยกำรแปลงสัญชำติได้เช่นเดียวกับหญิงต่ำงด้ำวที่สมรสกับชำยสัญชำติไทยนั้น ศำลรัฐธรรมนูญ
พิจำรณำแล้วเห็นว่ำ พระรำชบัญญัติสัญชำติ พ.ศ. ๒๕๐๘ มำตรำ ๙ วรรคหนึ่งบัญญัติว่ำ “หญิงซึ่งเป็นคนต่ำงด้ำว
และได้สมรสกับผู้มีสัญชำติไทย ถ้ำประสงค์จะได้สัญชำติไทย ให้ยื่นค�ำขอต่อพนักงำนเจ้ำหน้ำที่ตำมแบบและวิธีกำรที่
ก�ำหนดในกฎกระทรวง” เมื่อพิจำรณำแล้วไม่ถือเป็นบทบัญญัติที่ก่อให้เกิดควำมไม่เสมอภำคกันในกฎหมำยระหว่ำง
ชำยและหญิง หรือเป็นกำรท�ำให้ชำยและหญิงไม่ได้มีสิทธิเท่ำเทียมกัน ด้วยเหตุที่เป็นมำตรกำรที่รัฐก�ำหนดขึ้นให้
เหมำะสมกับสภำพสังคมและควำมมั่นคงของประเทศ ซึ่งมิได้ตัดสิทธิของชำยต่ำงด้ำวที่สมรสกับหญิงสัญชำติไทย
ก็อำจได้สัญชำติไทยตำมหลักเกณฑ์และเงื่อนไขตำมที่กฎหมำยบัญญัติ คือ มำตรำ ๑๐ ๑๑ และ ๑๒ ซึ่งไม่ได้ยุ่งยำก
และก่อให้เกิดปัญหำในสถำนะของบุคคลแต่ประกำรใด จึงมิใช่เป็นกำรเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคลเพรำะ
เหตุแห่งควำมแตกต่ำงในเรื่องเพศ (ค�ำวินิจฉัยศำลรัฐธรรมนูญที่ ๓๗/๒๕๔๖) จำกค�ำวินิจฉัยคดีนี้ หำกเปรียบเทียบ
ระหว่ำงกรณีชำยไทยสมรสกับหญิงต่ำงด้ำว กับกรณีชำยต่ำงด้ำวสมรสกับหญิงไทยนั้น จะเห็นได้ว่ำ กำรได้สัญชำติ
ไทยของคนต่ำงด้ำวทั้งสองกรณีอยู่ภำยใต้หลักกฎหมำยที่แตกต่ำงกัน โดยหลักแล้วเป็นกำรปฏิบัติที่แตกต่ำงกันใน
ระดับหลักกำรของกฎหมำยและเกี่ยวข้องกับเหตุแห่งกำรเลือกปฏิบัติคือเพศ แต่ศำลวินิจฉัยว่ำไม่เป็นกำรเลือก
ปฏิบัติเนื่องจำกน�ำปัจจัยเหตุผลด้ำนอื่นมำประกอบกำรพิจำรณำ เช่น ชำยต่ำงด้ำวยังมีช่องทำงอื่นตำมกฎหมำยใน
กำรได้มำซึ่งสัญชำติไทย นอกจำกนี้ ยัง “เป็นมำตรกำรรัฐที่ก�ำหนดขึ้นให้เหมำะสมกับสภำพสังคมและควำมมั่นคง
ของประเทศ” ซึ่งอำจพิจำรณำเปรียบเทียบได้กับหลัก “ขอบแห่งดุลพินิจ” (Margin of Appreciation) ดังจะได้
แยกวิเครำะห์ต่ำงหำก
กรณีเกี่ยวกับกำรเลือกปฏิบัติด้วยเหตุสภำพร่ำงกำย โดยเฉพำะกรณี “ควำมพิกำร” นั้น พบว่ำ
มีค�ำวินิจฉัย ๓ กรณีที่ส�ำคัญ คือ
# กรณีที่มีกำรอ้ำงว่ำ บทบัญญัติของพระรำชบัญญัติระเบียบข้ำรำชกำรฝ่ำยตุลำกำรศำลยุติธรรม
พ.ศ. ๒๕๔๓ มำตรำ ๒๖ (๑๐) ที่ก�ำหนดคุณสมบัติผู้สมัครเข้ำรับกำรคัดเลือกไว้ว่ำ “(๑๐) ไม่เป็นคนไร้ควำมสำมำรถ
คนเสมือนไร้ควำมสำมำรถ คนวิกลจริต หรือจิตฟันเฟือนไม่สมประกอบ หรือมีกำยหรือจิตใจไม่เหมำะสมที่จะเป็น
ข้ำรำชกำรตุลำกำร หรือเป็นโรคที่ระบุไว้ในระเบียบของ ก.ต” นั้น เป็นกำรเลือกปฏิบัติอันขัดต่อรัฐธรรมนูญฉบับปี
๒๕๔๐ กรณีนี้เห็นได้ว่ำเกี่ยวข้องกับเหตุแห่งกำรเลือกปฏิบัติ คือ “ควำมพิกำร” แต่ศำลน�ำข้อยกเว้นตำมรัฐธรรมนูญ
มำวินิจฉัยว่ำ เป็นลักษณะตำมข้อยกเว้นของรัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๕๔๐ มำตรำ ๒๙
276