Page 276 - รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ เรื่อง กฎหมายว่าด้วยความเสมอภาคและการไม่เลือกปฏิบัติ
P. 276

กฎหมายว่าด้วยความเสมอภาคและการไม่เลือกปฏิบัติ






                              ในคดีแรก ผู้ร้องเห็นว่ำ บทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎำกร มำตรำ ๕๗ ตรี และมำตรำ ๕๗ เบญจ

                 เป็นกฎหมำยที่ท�ำให้บุคคลไม่เสมอกันในกฎหมำย และไม่ได้รับควำมคุ้มครองตำมกฎหมำยเท่ำเทียมกัน ท�ำให้ชำย
                 และหญิงมีสิทธิไม่เท่ำเทียมกัน จึงขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มำตรำ ๓๐ อย่ำงไรก็ตำม ศำลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ำ
                 “ประมวลรัษฎำกร ...เป็นกฎหมำยเพื่อประโยชน์ในกำรจัดเก็บภำษีของรัฐ มีผลใช้บังคับกับสำมีและภริยำทั้งหมด

                 ที่มีเงินได้พึงประเมินเป็นกำรทั่วไปอย่ำงเท่ำเทียมกัน จึงถือไม่ได้ว่ำเป็นกำรเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคล
                 เพรำะเหตุแห่งควำมแตกต่ำงในเรื่องถิ่นก�ำเนิด เพศ อำยุ สภำพทำงกำยหรือสุขภำพ สถำนะของบุคคล ฐำนะทำง
                 เศรษฐกิจหรือสังคม ตำมที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ มำตรำ ๓๐ วรรคสำม แม้ว่าประมวลรัษฎากร มาตรา ๕๗ ตรี

                 ก�าหนดให้ถือเงินได้พึงประเมินของภริยาเป็นเงินได้ของสามี โดยให้สามีมีหน้าที่ยื่นรายการเสียภาษีเงินได้บุคคล
                 ธรรมดาแทนภริยาจะกระทบกระเทือนต่อสิทธิและเสรีภาพของผู้เป็นสามีอยู่บ้างก็ตาม แต่ก็เท่ำที่จ�ำเป็นเพื่อ

                 ประโยชน์์ในกำรจัดเก็บภำษีของรัฐ และมิได้กระทบต่อสำระส�ำคัญแห่งสิทธิและเสรีภำพส่วนบุคคล ครอบครัว และ
                 ทรัพย์สินตำมที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ มำตรำ ๒๙ ดังนั้น ประมวลรัษฎำกร มำตรำ ๕๗ ตรี จึงไม่ขัดหรือแย้งต่อ
                 รัฐธรรมนูญ มำตรำ ๓๐” (ค�ำวินิจฉัยศำลรัฐธรรมนูญที่ ๔๘/๒๕๔๕)



                              จะเห็นได้ว่ำ กฎหมำยที่พิพำทในกรณีนี้ปฏิบัติต่อบุคคลแตกต่ำงกัน กล่ำวคือ ให้สำมีน�ำเงินได้ของ

                 ภริยำมำรวมค�ำนวณ แต่ในทำงกลับกันไม่ให้ภริยำน�ำเงินได้ของสำมีไปรวมค�ำนวณกับเงินได้ของตน โดยเนื้อหำจึง
                 เป็นควำมไม่เท่ำเทียมกันด้วยเหตุแห่งเพศ นอกจำกนี้ ยังอำจพิจำรณำว่ำเป็นควำมไม่เท่ำเทียมด้วยเหตุ “สถำนะ
                 ของบุคคล” กล่ำวคือ สถำนะทำงครอบครัวในควำมเป็นสำมีและภริยำอีกด้วย แม้ศำลรัฐธรรมนูญน�ำข้อยกเว้นมำ

                 พิจำรณำว่ำกฎหมำยนี้ “บังคับกับสำมีและภริยำทั้งหมดที่มีเงินได้พึงประเมินเป็นกำรทั่วไป อย่ำงเท่ำเทียมกัน..”
                 แต่ก็เป็นกำรใช้บังคับโดยสร้ำงควำมแตกต่ำงระหว่ำงเพศอยู่นั่นเอง อย่ำงไรก็ตำม ศำลรัฐธรรมนูญก็ยอมรับว่ำกำร
                 บังคับดังกล่ำว “กระทบต่อสิทธิและเสรีภำพของผู้เป็นสำมีอยู่บ้ำง” นอกจำกนี้ กำรที่ศำลน�ำข้อยกเว้นมำวินิจฉัยก็

                 อำจมองได้ว่ำอันที่จริงแล้วศำลเห็นว่ำกฎหมำยดังกล่ำวเป็นกำรปฏิบัติต่อบุคคลที่แตกต่ำงกันด้วยเหตุแห่งเพศหรือ
                 สถำนะของบุคคล โดยหลักแล้วขัดต่อหลักควำมเท่ำเทียมกัน แต่ศำลชั่งน�้ำหนักกับประโยชน์ของรัฐแล้วเห็นว่ำเข้ำ
                 ข้อยกเว้นอันท�ำให้มีกำรปฏิบัติที่แตกต่ำงกันได้ แต่ก็มีประเด็นน่ำพิจำรณำต่อไปว่ำ กำรก�ำหนดให้เฉพำะสำมีน�ำเงิน

                 ได้ของภริยำมำรวมค�ำนวณ แต่ในทำงกลับกันไม่ให้ภริยำน�ำเงินได้ของสำมีไปรวมค�ำนวณกับเงินได้ของตน ท�ำให้เกิด
                 ประโยชน์มำกน้อยแตกต่ำงกันเพียงใดในกำรจัดเก็บภำษีของรัฐ และมีผลกระทบต่อกำรบริหำรจัดกำรภำษีของรัฐ

                 แตกต่ำงอย่ำงไร หำกก�ำหนดให้สิทธิผู้เสียภำษีอย่ำงเท่ำเทียมกันโดยสำมำรถเลือกระหว่ำง กำรให้สำมีน�ำเงินได้ของ
                 ภริยำไปรวมกับสำมี และกำรให้ภริยำน�ำเงินได้ของสำมีมำรวมกับภริยำ


                              ในคดีที่สอง ได้มีกำรยกประเด็นประมวลรัษฎำกร มำตรำ ๕๗ ตรี มำสู่กำรพิจำรณำของศำล
                 รัฐธรรมนูญอีกครั้งภำยใต้บทบัญญัติควำมเท่ำเทียมกันตำมรัฐธรรมนูญฉบับ ปี ๒๕๕๐ ศำลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ำ

                 “...ประมวลรัษฎำกร มำตรำ ๕๗ ตรี ที่บัญญัติให้สำมีและภริยำที่อยู่ร่วมกันตลอดปีภำษีที่ล่วงมำแล้ว ต้องถือเอำเงิน
                 ได้พึงประเมินของภริยำเป็นเงินได้ของสำมี และให้สำมีมีหน้ำที่และควำมรับผิดในกำรยื่นรำยกำรและเสียภำษี แต่
                 ถ้ำมีภำษีค้ำงช�ำระและภริยำได้รับแจ้งล่วงหน้ำไม่น้อยกว่ำ ๗ วันแล้วให้ภริยำร่วมรับผิดในกำรเสียภำษีที่ค้ำงช�ำระ

                 นั้นด้วย เป็นกำรไม่ยุติธรรมส�ำหรับภริยำ เพรำะภริยำอำจไม่มีส่วนรู้เห็นในเรื่องกำรยื่นรำยกำรเสียภำษีด้วย และ






                                                               275
   271   272   273   274   275   276   277   278   279   280   281