Page 80 - รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ เรื่อง โครงการศึกษาวิจัยปัญหาการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมของบุคคลผู้ที่มีอาการตาบอดสี
P. 80
71
ทํางานในโรงพยาบาลในตําแหน่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์การแพทย์ที่มีการยกเว้นไม่ให้บุคคลผู้ที่มีอาการ
ตาบอดสีเข้าทํางาน ผู้ให้ข้อมูลจึงอยากให้สังคมเปลี่ยนทัศนคติเกี่ยวกับบุคคลผู้ที่มีอาการตาบอดสี เนื่องจาก
อาการตาบอดสีไม่ได้เป็นบุคคลที่ไม่สมประกอบหรือเป็นคนพิการแต่อย่างใด เพราะอาการตาบอดสีของบางคน
ไม่ได้มีอาการรุนแรงมากนัก สามารถทํางานและดําเนินชีวิตประจําวันได้ปกติ (ผู้ให้สัมภาษณ์ท่านที่ 15, ผู้แทน
บุคคลผู้ที่มีอาการตาบอดสี, สัมภาษณ์ 12 พฤษภาคม 2558) ผู้ให้ข้อมูลอีกท่านหนึ่งซึ่งทํางานเป็นนักวิชาการ
กลุ่มงานวิจัยสิทธิมนุษยชน สํานักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และเป็นบุคคลผู้ที่มีอาการตาบอดสี
ให้ข้อมูลว่า เริ่มรู้อาการตาบอดสีของตัวเองตอนเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 มีความฝันอยากเป็นทหาร แต่พลาด
โอกาสนี้ไป เมื่อขึ้นเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ได้เปลี่ยนความคิดมาเป็นการสอบเข้าแพทย์หรือวิศวะ แต่เมื่อดู
คุณสมบัติในการรับสมัครแล้วก็พบว่าเป็นสาขาวิชาที่ห้ามบุคคลผู้ที่มีอาการตาบอดสีเข้าเรียน ทําให้รู้ว่ามีทางเลือก
ในการศึกษาต่อน้อยลง นอกจากนี้ ในหลายสาขาวิชาชีพ แม้จะสามารถสอบเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัยได้
แต่เมื่อจบการศึกษา ก็จะไม่สามารถสมัครเข้าทํางานในบริษัทขนาดใหญ่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสายวิชาชีพ
ทางวิทยาศาสตร์ ผู้ให้ข้อมูลจึงได้เลือกเรียนต่อในสายสังคมศาสตร์ ในคณะรัฐศาสตร์ และได้เริ่มเข้ารับราชการ
ครั้งแรกที่วุฒิสภา ก่อนย้ายมาเป็นนักวิชาการสิทธิมนุษยชนที่สํานักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
จึงเห็นว่าหากบุคคลผู้ที่มีอาการตาบอดสีได้รู้ว่าตัวเองมีอาการตาบอดสีเร็วมากเท่าไหร่ ก็จะสามารถปรับตัว
ทั้งทางการศึกษาและอาชีพ รวมทั้งการวางแผนชีวิตในอนาคตได้เร็วเท่านั้น (ผู้เข้าร่วมเวทีสาธารณะท่าน 6,
สํานักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ, เวทีสาธารณะ 6 กรกฎาคม 2558)
4.1.2.2 สภาพปัญหาและข้อจ ากัดของบุคคลผู้ที่มีอาการตาบอดสีในด้านการประกอบอาชีพ
ผลการศึกษาด้วยการสนทนากลุ่มย่อย การสัมภาษณ์และการจัดเวทีรับฟังความคิดเห็น
พบสภาพปัญหาและข้อจํากัดของบุคคลผู้ที่มีอาการตาบอดสีในด้านการประกอบอาชีพหลายกรณี ผู้ให้ข้อมูล
ท่านหนึ่งให้ข้อมูลว่า ตนเองจบการศึกษาจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิศวกรรมอาหารจากมหาวิทยาลัย
แห่งหนึ่ง ซึ่งตอนเข้าศึกษาไม่ได้ทําการตรวจร่างกายเกี่ยวกับการทดสอบตาบอดสี แต่เมื่อจบการศึกษาออกไป
แล้วได้เข้าสมัครทํางานที่บริษัทแห่งหนึ่ง เกี่ยวกับการผลิตอุตสาหกรรมอาหารส่งออก ได้มีการสอบสัมภาษณ์
รวมถึงการทดสอบตาบอดสีด้วย ทําให้ทําการทดสอบตาบอดสีไม่ผ่าน จึงหมดโอกาสเข้าทํางานในบริษัทแห่งนั้น
(ผู้แทนบุคคลผู้ที่มีอาการตาบอดสี ท่านที่ 4, บุคคลผู้ที่มีอาการตาบอดสี, การสนทนากลุ่มย่อย 29 พฤษภาคม
2558) ผู้ให้ข้อมูลอีกท่านหนึ่งให้ข้อมูลว่าเคยพบการร้องเรียนกรณีเข้าสมัครงานในกิจการประกอบรถยนต์แห่งหนึ่ง
ที่ปฏิเสธการรับเข้าทํางานโดยให้เหตุผลว่าบุคคลที่ทํางานแห่งนี้จําเป็นต้องใช้สายตาในการคัดแยกสี จึงไม่สามารถ
รับบุคคลผู้ที่มีอาการตาบอดสีเข้าทํางานได้ (ผู้ให้สัมภาษณ์ท่านที่ 2, สํานักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน
แห่งชาติ, สัมภาษณ์ 4 กรกฎาคม 2558) สภาพทั่วไปของบุคคลผู้ที่มีอาการตาบอดสีนั้นเหมือนบุคคลปกติทั่วไป
ไม่เป็นบุคคลที่หย่อนความสามารถตามกฎหมายแต่อย่างใด มีเพียงแต่ข้อจํากัดในอาชีพทหาร ตํารวจเท่านั้น
ด้านการประกอบอาชีพหากเป็นอาชีพอิสระ หรือนักธุรกิจไม่มีปัญหาแต่อย่างใด แต่ในอาชีพรับราชการในบาง
สาขาก็มีผลต่อการปฏิบัติหน้าที่ บางตําแหน่งเท่านั้นที่ต้องห้ามสําหรับบุคคลตาบอดสี แต่ก็ไม่เป็นธรรมตาม
หลักการในสิทธิมนุษยชนและหลักสากลขององค์การสหประชาชาติ (ผู้ให้สัมภาษณ์ท่านที่ 13, สํานักงานตํารวจ
แห่งชาติ, สัมภาษณ์ 23 พฤษภาคม 2558)