Page 55 - รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ เรื่อง โครงการศึกษาวิจัยปัญหาการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมของบุคคลผู้ที่มีอาการตาบอดสี
P. 55

46



                            2.6.2 แนวคิดการเลือกปฏิบัติที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
                                  นับตั้งแต่วันที่  24  มิถุนายน พ.ศ.2475  ซึ่งเป็นวันที่คณะราษฎรได้ยึดอํานาจการปกครอง
                  ประเทศไทยจึงได้เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบพระมหากษัตริย์

                  ภายใต้รัฐธรรมนูญ จึงเริ่มมีรัฐธรรมนูญเป็นลายลักษณ์เป็นครั้งแรก  โดยใช้ชื่อว่า  “พระราชบัญญัติธรรมนูญ
                  การปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พ.ศ.2475  แต่ไม่ได้ปรากฏแนวคิดที่ส่งเสริมให้มีความเท่าเทียมหรือห้าม
                  มิให้มีการเลือกปฏิบัติ มีเพียงบทบัญญัติให้ชายและหญิงมีสิทธิเท่าเทียมกันในการออกเสียงเลือกตั้ง จนมาถึง
                  รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช  2540  และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช
                  2550 ได้มีการบัญญัติรับรองความเสมอภาคระหว่างบุคคล และห้ามมิให้มีการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมด้วย

                  เหตุๆ ไว้อย่างชัดเจน ดังนี้ (นัยนา  เกิดวิชัย, 2550)
                                  2.6.2.1 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540
                                        รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 บัญญัติเกี่ยวกับความเสมอภาค

                  และห้ามเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมด้วยเหตุต่างๆ ไว้ใน 3 มาตรา ดังนี้
                                        “มาตรา  5  ประชาชนชาวไทยไม่ว่าเหล่ากําเนิด เพศ หรือศาสนาใด ย่อมอยู่ใน
                  ความคุ้มครองแห่งรัฐธรรมนูญนี้เสมอกัน”
                                        “มาตรา 30 บุคคลย่อมเสมอกันในกฎหมายและได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย

                  เท่าเทียมกัน
                                        ชายและหญิงมีสิทธิเท่าเทียมกัน”
                                         การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคลเพราะเหตุแห่งความแตกต่างในเรื่องถิ่น
                  กําเนิด เชื้อชาติ ภาษา เพศ อายุ สภาพทางกายหรือสุขภาพ สถานะของบุคคล ฐานะทางเศรษฐกิจหรือสังคม

                  ความเชื่อทางศาสนา การศึกษาอบรม หรือความคิดเห็นทางการเมืองอันไม่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ
                  จะกระทํามิได้
                                         มาตรการที่รัฐกําหนดขึ้นเพื่อขจัดอุปสรรคหรือส่งเสริมให้บุคคลสามารถใช้สิทธิและ
                  เสรีภาพได้เช่นเดียวกับบุคคลอื่น ย่อมไม่ถือเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมตามวรรคสาม”

                                         ทั้งสองมาตราดังกล่าว เป็นบทบัญญัติเฉพาะที่ให้ความสําคัญกับความเสมอภาค
                  ระหว่างบุคคลอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร ในมาตรา 5 ให้ความรับรองว่า ไม่ว่าเหล่ากําเนิด เพศหรือศาสนาใด
                  ย่อมได้รับความคุ้มครองภายใต้รัฐธรรมนูญนี้อย่างเท่าเทียมกัน ต่อมาในบทบัญญัติตามมาตรา 30 วรรคหนึ่งที่

                  กําหนดให้ทุกคนมีความเสมอภาคและได้รับความคุ้มครองเท่าเทียมกันภายใต้กฎหมาย วรรคสองเป็นการรับรอง
                  ความเสมอภาคระหว่างชายและหญิง วรรคสามกําหนด ห้ามมิให้มีการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม ส่วนวรรคท้าย
                  รัฐสามารถเลือกปฏิบัติได้เพื่อขจัดความไม่เสมอภาคที่ดํารงอยู่ โดยการกระทําของรัฐตามวรรคท้ายไม่ถือเป็น
                  การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม ส่วนที่สําคัญที่สุดที่เกี่ยวกับแนวคิดการเลือกปฏิบัติปรากฏอยู่ในมาตรา  30
                  วรรคสาม และวรรคท้าย ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 วรรคสาม และวรรคท้าย

                  ที่บัญญัติว่า “การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคลเพราะเหตุแห่งความแตกต่างในเรื่องถิ่นกําเนิด เชื้อชาติ
                  ภาษา เพศ อายุ สภาพทางกายหรือสุขภาพ สถานะของบุคคล ฐานะทางเศรษฐกิจหรือสังคม ความเชื่อทางศาสนา
   50   51   52   53   54   55   56   57   58   59   60