Page 58 - รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ เรื่อง โครงการศึกษาวิจัยปัญหาการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมของบุคคลผู้ที่มีอาการตาบอดสี
P. 58

49



                                         จากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 และรัฐธรรมนูญแห่ง
                  ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 การให้ความคุ้มครองให้ชายหญิงมีความเสมอภาคกันและห้ามมิให้มีการ
                  เลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมต่อบุคคล มีบัญญัติไว้เป็นลายลักษณ์อักษรอย่างชัดเจน เมื่อพิจารณาอย่างผิวเผินแล้ว

                  จะทําให้เข้าใจได้ว่าบทบัญญัติตามรัฐธรรมนูญให้ความคุ้มครองทั่วทุกภาคส่วนในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็น
                  ภาครัฐหรือเอกชน
                                         ศาสตราจารย์ ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ได้อธิบายเพิ่มเติมว่าสิทธิตามรัฐธรรมนูญ
                  เป็นเอกสารที่ใช้ยันระหว่างรัฐกับประชาชน องค์กรของรัฐเท่านั้นที่จะละเมิดสิทธิ เสรีภาพที่รัฐธรรมนูญให้การ
                  คุ้มครองไว้ไม่ได้ รัฐธรรมนูญไม่อาจให้ความคุ้มครองเอกชนและเอกชนด้วยกัน หากต้องการให้คุ้มครอง

                  ดังกล่าว รัฐต้องกฎหมายออกมาเพื่อรองรับในการห้ามมิให้มีการเลือกปฏิบัติในภาคเอกชน ทําให้รัฐธรรมนูญ
                  ไม่คุ้มครองไปถึงการเลือกปฏิบัติระหว่างเอกชนด้วยกัน  จะมีบัญญัติคุ้มครองเป็นพิเศษเฉพาะในส่วนแรงงาน
                  ภาคเอกชน ซึ่งปัจจุบันมีพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 ที่ให้ความคุ้มครองลูกจ้าง โดยให้นายจ้าง

                  ปฏิบัติต่อลูกจ้างชายและหญิงอย่างเท่าเทียมกัน

                            2.6.3 แนวค าพิพากษาของศาลไทยเกี่ยวกับแนวคิดการเลือกปฏิบัติ
                                  ศาลรัฐธรรมนูญได้มีการอ้างถึงการเลือกปฏิบัติในคําวินิจฉัยไว้เป็นคดีแรก ในคําวินิจฉัยศาล

                  รัฐธรรมนูญที่ 5/2542  โดยศาลได้ให้คําอธิบายเกี่ยวกับแนวคิดการเลือกปฏิบัติที่บัญญัติอยู่ในรัฐธรรมนูญว่า
                  การกําหนดให้สถาบันการเงินคิดอัตราดอกเบี้ยเกินกว่าร้อยละ 15  ได้ตามพระราชบัญญัติดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืม
                  ของสถาบันการเงิน พ.ศ.2523  ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของสถาบันการเงิน
                  (ฉบับที่ 3)  พ.ศ.2535  แม้จะมีการบัญญัติแตกต่างไปจากประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์และพระราชบัญญัติ

                  ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ.2475 ที่ห้ามมิให้คิดอัตราดอกเบี้ยเกินกว่าร้อยละ 15 ต่อปี แต่เมื่อสถาบันการเงิน
                  มีอํานาจคิดอัตราดอกเบี้ยเกินกว่าร้อยละ 15  ได้ตามที่กฎหมายกําหนด โดยมีความจําเป็นในการแก้ไขปัญหา
                  เศรษฐกิจของประเทศ จึงไม่เป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม
                                  ต่อมาในคําวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 34-53/2543 ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าตามประมวล

                  กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 286 วรรคหนึ่ง (2) และ (3) ที่บัญญัติไว้อย่างแตกต่างกันระหว่างบุคคล
                  ในวรรคหนึ่ง (2) คือ ข้าราชการหรือลูกจ้างของรัฐ และบุคคลในวรรคหนึ่ง (3) คือบุคคล นอกเหนือจากข้าราชการ
                  และพนักงานของรัฐ ในการให้ดุลพินิจศาลในการกําหนดให้เงินของลูกหนี้ตามคําพิพากษาต้องถูกบังคับคดีหรือไม่

                  ในกรณีที่เป็นบุคคลในวรรคหนึ่ง (2) จะได้รับความคุ้มครองทําให้เงินเดือน ค่าจ้าง บํานาญ ไม่อยู่ในข่ายแห่ง
                  การบังคับคดี แต่บุคคลในวรรคหนึ่ง (3) เงินประเภทเดียวกันอาจถูกบังคับคดีได้ เป็นการที่กฎหมายบัญญัติไว้
                  อย่างแตกต่างกัน เมื่อพิจารณาประกอบกับสิทธิของข้าราชการ ลูกจ้างของรัฐ อาจถูกจํากัดให้ไม่สามารถไป
                  ประกอบอาชีพอื่นได้ ไม่มีสิทธิเสรีภาพเหมือนคนทั่วไป นอกจากนี้แม้บุคคลในวรรคหนึ่ง (3) อาจถูกบังคับคดี
                  ได้จากจํานวนเงินดังกล่าว แต่กฎหมายก็ให้สิทธิอุทธรณ์ การกําหนดจํานวนเงินจึงไม่เป็นการเลือกปฏิบัติที่

                  ไม่เป็นธรรม นอกจากนี้ศาลปกครองได้นํามาตรา 30 ของรัฐธรรมนูญมาประกอบคําวินิจฉัยเมื่อมีการอ้างถึง
                  การเลือกปฏิบัติในคดีต่างๆ ด้วย
   53   54   55   56   57   58   59   60   61   62   63