Page 60 - รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ เรื่อง โครงการศึกษาวิจัยปัญหาการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมของบุคคลผู้ที่มีอาการตาบอดสี
P. 60

51




                  ทุกคน  ซึ่งจะเป็นสิทธิที่มีมาตั้งแต่เกิดที่ทุกคนจะต้องเสมอภาคเท่าเทียมกัน  และห้ามมิให้มีการเลือกปฏิบัติ
                  เพราะจะนําไปสู่ความไม่เสมอภาคแก่บุคคลที่เรียกว่าการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม แต่การห้ามเลือกปฏิบัตินี้

                  มิได้เป็นการห้ามอย่างเด็ดขาด การเลือกปฏิบัตินั้นจะมีขึ้นได้ก็เพื่อขจัดอุปสรรคหรือส่งเสริมให้เกิดความเสมอภาค
                  เพื่อให้บุคคลนั้นใช้สิทธิได้เท่าเทียมกับบุคคลอื่น ถือว่าเป็นการเลือกปฏิบัติที่เป็นธรรม ตามมาตรา 30 วรรคสี่
                  (คําวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 21/2546)
                                         ศาลรัฐธรรมนูญได้ใช้หลักข้อเท็จจริงเดียวกันต้องปฏิบัติด้วยกฎเกณฑ์เดียวกัน
                  จึงจะเสมอภาค และข้อเท็จจริงต่างกันต้องปฏิบัติด้วยกฎเกณฑ์ต่างกันจึงจะเสมอภาค ถ้าหากกฎหมายบังคับ

                  ต่อบุคคลแตกต่างกัน เพราะบุคคลที่กฎหมายมุ่งหมายจะบังคับนั้นแตกต่าง การกระทําเช่นนั้นย่อมเสมอภาค
                  ถูกอ้างถึงครั้งแรกในคําวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 5/2542 ดังกล่าวมาแล้ว หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย
                  ในคดีนี้ ได้มีอีกหลายคดีที่ศาลได้วินิจฉัยไปในแนวทางเดียวกัน ดังเช่น พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและ

                  วิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 มาตรา 45 วรรคสี่
                                         คําวินิจฉัยที่ 84/2547 การที่พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดี
                  ปกครองฯ บัญญัติในเรื่องค่าธรรมเนียมศาลแตกต่างไปจากประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง โดยไม่ได้
                  บัญญัติในเรื่องการดําเนินคดีอนาถาเอาไว้ ไม่ใช่เป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม เนื่องมาจากความแตกต่าง

                  ด้านฐานะทางเศรษฐกิจดังที่ผู้ร้องกล่าวอ้าง เพราะบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวใช้บังคับโดยทั่วไป ผู้ที่นําคดี
                  มาสู่ศาลจะได้รับการปฏิบัติอย่างเดียวกัน ไม่ได้เลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคลเพราะเหตุแห่งความแตกต่าง
                  เรื่องฐานะทางเศรษฐกิจ  และร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา
                  พ.ศ. ... (คําวินิจฉัยที่ 37/2542) “...เมื่อพิจารณากฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน กฎหมายว่าด้วยการ

                  ประกันสังคม  และกฎหมายว่าด้วยเงินทดแทนแล้ว  กฎหมายดังกล่าวมีหลักการคล้ายคลึงกันโดยใช้บังคับแก่
                  ลูกจ้างตามสัญญาจ้างแรงงาน ซึ่งไม่ใช้บังคับแก่ส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ ในส่วนของคํานิยามว่า“ลูกจ้าง”
                  มีความหมายในทํานองเดียวกันว่าหมายถึงบุคคลซึ่งทํางานให้นายจ้างโดยได้รับค่าจ้าง ส่วนคํานิยามว่า “ค่าจ้าง”
                  หมายความว่าเงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเป็นค่าตอบแทนในการทํางาน ข้อเท็จจริงตามร่างพระราชบัญญัติ

                  ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา พ.ศ. ... ให้สํานักงานผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา
                  เป็นหน่วยงานของรัฐมีฐานะเป็นนิติบุคคล (มาตรา 39 วรรคหนึ่ง) พนักงานและลูกจ้างของสํานักงานฯ ได้รับ
                  อัตราเงินเดือนและค่าตอบแทนอื่นตามที่ระเบียบหรือประกาศที่เกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลกําหนด (มาตรา

                  41 (2)) สํานักงานฯ ต้องเสนองบประมาณรายจ่ายต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อจัดสรรเป็นเงินอุดหนุนของสํานักงานฯ
                  ไว้ในร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปี (มาตรา 48) นอกจากนี้พนักงานและลูกจ้างยังมีสิทธิได้รับ
                  การจัดสวัสดิการหรือการสงเคราะห์อื่น (มาตรา 41 (6)) ตามนัยที่กล่าวแม้พนักงานและลูกจ้างของสํานักงานฯ
                  ไม่มีฐานะเป็นลูกจ้างตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน กฎหมายว่าด้วยการประกันสังคมและกฎหมาย
                  ว่าด้วยเงินทดแทน แต่ยังคงมีหลักประกันตามที่กําหนดไว้ในร่างฯ โดยได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายในฐานะ

                  ที่เป็นพนักงานหรือลูกจ้างของหน่วยงานของรัฐ  และการที่ไม่นํากฎหมายเกี่ยวกับแรงงานมาใช้บังคับจะเป็น
                  การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมตามที่มาตรา  30  วรรคสามของรัฐธรรมนูญบัญญัติไว้หรือไม่นั้น  เห็นว่าเมื่อ
                  พิจารณาความในมาตรา 30 วรรคหนึ่งของรัฐธรรมนูญประกอบแล้ว ความในมาตราดังกล่าวเป็นหลักคุ้มครอง
   55   56   57   58   59   60   61   62   63   64   65