Page 34 - รายงานการศึกษาวิจัยฉบับสมบูรณ์ เรื่อง ปัญหาและมาตรการทางกฎหมายในการรับรองและคุ้มครองสิทธิในความเป็นอยู่ส่วนตัว
P. 34

๑๙


                   (๑)  การด่าเนินมาตรการอันเป็นการแทรกแซงนั้นมีกฎหมายบัญญัติให้กระท่าได้  (๒)  การด่าเนิน

                   มาตรการนั้นเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์อันเป็นประโยชน์สาธารณะอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่ก่าหนดไว้
                   และ (๓) การด่าเนินมาตรการนั้นเป็นสิ่งจ่าเป็นในสังคมประชาธิปไตย  และได้สัดส่วนกับวัตถุประสงค์

                   อันเกี่ยวด้วยประโยชน์สาธารณะที่มุ่งหมายนั้น

                                             (ก)  การด าเนินมาตรการอันเป็นการแทรกแซงนั้นมีกฎหมายบัญญัติ
                   ให้กระท าได้

                                                การด่าเนินมาตรการโดยองค์กรของรัฐอันเป็นการแทรกแซงการใช้
                   สิทธิในชีวิตส่วนตัวของบุคคลจะต้องมีกฎหมายบัญญัติได้กระท่าเช่นนั้นได้ และด่าเนินการได้ในขอบเขต

                   และโดยวิธีการเพียงเท่าที่กฎหมายก่าหนดไว้เท่านั้น ดังที่บัญญัติไว้ในวรรคสองของข้อ ๘ ของอนุสัญญาแห่ง
                   ยุโรปว่าด้วยการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพขั้นพื้นฐาน ความว่า  “การแทรกแซงขององค์กรของ

                                                                                                     ๒๘
                   รัฐในการใช้สิทธิในชีวิตส่วนตัวของบุคคลจะกระท าได้ก็เฉพาะต่อเมื่อมีกฎหมายบัญญัติไว้เท่านั้น...”
                                                จากบทบัญญัติดังกล่าว การด่าเนินมาตรการอันมีผลเป็นการแทรกแซง
                   การใช้สิทธิในชีวิตส่วนตัวของบุคคลจะกระท่าได้ก็เฉพาะแต่โดยองค์กรของรัฐ  และกระท่าได้ก็ต่อเมื่อมี

                   กฎหมายบัญญัติให้กระท่าได้เท่านั้น เงื่อนไขดังกล่าวมีข้อสังเกตบางประการ คือ

                                                ประการที่หนึ่ง  ค่าว่า “กฎหมาย” ในที่นี้  ศาลแห่งยุโรปด้านสิทธิ
                   มนุษยชนมิได้หมายความถึงกฎหมายในระดับรัฐบัญญัติ  (un  texte  nécessairement  legislative)

                   ที่เป็นวัตถุแห่งการร้องเรียนเนื่องจากก่าหนดบทบัญญัติที่เป็นการแทรกแซงสิทธิในชีวิตส่วนตัวของบุคคล

                   ที่ได้รับการรับรองและคุ้มครองโดยอนุสัญญาแห่งยุโรปว่าด้วยการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพ
                   ขั้นพื้นฐานโดยมิชอบ  หากแต่ศาลมุ่งเน้นที่ “ความเป็นอิสระ”  (autonome)  ของกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องนั้น

                   โดยนัยดังกล่าว  ศาลหมายความรวมถึงกฎระเบียบต่างๆ  (les règlements) ตลอดจนค่าพิพากษา
                   (la jurisprudence) และ la Common law ด้วย

                                                ประการที่สอง  บทบัญญัติดังกล่าวมีเจตนารมณ์ส่าคัญสองประการ

                   กล่าวคือ การที่มีกฎหมายก่าหนดการด่าเนินมาตรการใดๆ ขององค์กรของรัฐย่อมแสดงให้เห็นว่าบุคคล
                   ทั้งหลายที่เกี่ยวข้องย่อมสามารถที่จะตรวจดูหรือรับทราบข้อมูลต่างๆ  เกี่ยวกับกฎหมายนั้นได้

                   (l’accessibilité) กล่าวอีกนัยหนึ่ง บุคคลสามารถที่จะรับรู้เกี่ยวกับกฎหมายหรือหลักเกณฑ์ทางกฎหมาย
                   ที่จะใช้บังคับกับตนได้  อีกทั้งยังสามารถที่จะคาดเห็นได้ล่วงหน้าอย่างเพียงพอ  (la  prévisibilité)

                   ถึงผลที่อาจจะเกิดขึ้นแก่ตนจากการใช้บังคับกฎหมายนั้น  กล่าวอีกนัยหนึ่ง  บทบัญญัติข้างต้นมุ่งเน้น

                   ที่ความสามารถของบุคคลที่เกี่ยวข้องในการเข้าถึงหรือรับรู้ได้  และบุคคลที่เกี่ยวข้องนั้นย่อมสามารถ
                   คาดเห็นถึงผลของกฎหมายนั้นที่อาจจะมีต่อตนได้  โดยนัยดังกล่าว  กฎหมายนั้นจึงต้องบัญญัติ

                   โดยใช้ถ้อยค่าที่ชัดเจนเพียงพอเกี่ยวกับขอบเขตของกฎหมายและวิธีการใช้อ่านาจขององค์กรของรัฐ




                          ๒๘ Art. 8 al. 2 ¨Il ne peut y avoir ingérence de l’autorité publique dans l’exercice de ce droit que

                   pour autant que cette ingérence est prévue par la loi…”
   29   30   31   32   33   34   35   36   37   38   39