Page 208 - แด่ศักดิ์ศรีเสมอกันทุกชั้นชน : วรรณกรรมกับสิทธิมนุษยชนศึกษา
P. 208
วรรณกรรมกับสิทธิมนุษยชนศึกษา 207
พรานผู้ล่ารู้ดีว่าป่ามีทั้งความอุดมสมบูรณ์และภัยอันตราย แต่สิ่งที่พรานผู้ล่าในวรรณกรรมของวัธนา
บุญยังนําเสนอออกมา คือ ป่าไม้ถูกทําลาย ความอุดมสมบูรณ์กําลังหมดไป การล่าสัตว์เป็นกลวิธีวิพากษ์
ปัญหาป่าไม้ถูกทําลาย เพราะบทบาทของพรานผู้ล่าในวรรณกรรมของวัธนาสื่อปัญหาเรื่องการรุกเข้ามาของ
กิจการป่าไม้ โดยที่ชุมชนไม่มีสิทธิหรืออํานาจที่จะต่อต้าน ปกป้องสิทธิการจัดการทรัพยากรของชุมชนได้เลย
เช่น พรานหนู วิพากษ์ปัญหาที่เกิดขึ้นจากการตัดไม้ โดยเจ้าของสัมปทานที่ส่งผลต่อชุมชน ดังนี้
“ลุงหนูนิ่งคิดอยู่พักหนึ่ง แล้วเอ่ยออกมาว่า ป่าสัมปทานข้าก็เคยอยู่มาแล้ว ทาง
เพชรบูรณ์โน่น บริษัทเขาก็ไม่เห็นจะยุ่งอะไร ข้ายังหาของป่ามาขายได้เพียงแต่ป่ามันเตียน และมี
คนเข้าไปกวนมากเท่านั้นแหละ
อย่างนั้นน่ะ มันของแน่อยู่แล้ว ที่สําคัญก็คือบริษัทที่มีเถ้าแก่วิชัยเป็นผู้จัดการเขตนี้ แก
เป็นคนเหี้ยมและไม่เคยเห็นใจใครทั้งสิ้น ได้ข่าวว่าแกจะตัดไม้ให้มากที่สุด พอป่าเตียน แกก็จับ
จองที่ดินเป็นเจ้าของที่ดินอีกทีหนึ่ง อีกไม่นานพื้นที่แถบนี้ก็เป็นของแกหมด พี่หนูลําบากแน่
ไม่แต่ข้าหรอกที่ลําบาก สัตว์ป่าทั้งหลายก็จะพลอยสูญพันธุ์ไปด้วย ถ้าคิดจะทําลายล้าง
กันอย่างนั้นจริงๆ ข้าตัวคนเดียวกับเมียยังไม่เท่าไหร่ เป็นห่วงแต่ป่าเนื้อดีและสัตว์ป่าทั้งหลาย
แล้วของแบบนี้หมดไปแล้วก็หมดไปเลย หามาทดแทนกันได้ที่ไหน
ถ้าบริษัทเขาคิดอย่างพี่หนูก็ดีซี นี่เขาไม่คิด ป่ามันถึงได้หมด…”
(ใบไม้ร่วงในป่าใหญ่, 2531: 110-111)
ในฐานะนายพรานผู้ล่า การวิพากษ์ปัญหาสัมปทานป่าไม้ มีนัยว่าชุมชนรับรู้และตระหนักถึงสิทธิของ
ชุมชนแต่ไม่มีอํานาจต่อต้าน คัดค้าน สิ่งที่ชุมชนทําคือ ย้ายออกจากป่าที่เสื่อมโทรม เร่ร่อนหาป่าผืนใหม่ที่อุดม
สมบูรณ์ หรือชุมชนกลายเป็นคนงานตัดไม้ให้นายทุนเพื่อดํารงชีวิตอยู่ในบ้านในป่าผืนเดิมต่อไป พรานผู้ล่า
ของวัธนา บุญยังจึงนําไปสู่การวิพากษ์ปัญหาป่าไม้ เช่น
“วันเวลาผ่านไป พรานหริ่งกับพวกยังคงใช้ชีวิตอยู่ในป่าลึกอย่างสงบสุข อาหารการกินก็
อุดมสมบูรณ์ สัตว์ป่าก็ชุกชุมมีให้ล่าอย่างเหลือเฟือ แต่พรานหริ่งก็ไม่ได้ออกล่าทุกวัน ได้แต่กําชับ
คงกับจันอยู่เสมอว่า ให้ล่าแต่ที่จําเป็น เอาเนื้อมันมากินและขายเลี้ยงชีพ ไม่ให้ล่าแบบทําลายล้าง
...เราอาศัยป่าเป็นที่อยู่และอาศัยสัตว์ป่าเลี้ยงชีพ ก็ต้องมีความกตัญญูต่อมัน ต้นไม้ไม่
จําเป็นอย่าไปตัดไปโค่น สัตว์ที่ล่าก็อย่าล่าตัวเมียหรือลูกอ่อน มันจะได้แพร่พันธุ์กันต่อไป
ลําพังพวกเราอยู่กันแค่นี้น่ะไม่เป็นไรหรอก ฉันกลัวว่าอีกไม่นานมีคนอื่นตามเข้ามาอยู่
ด้วย ทีนี้ล่ะมันจะไม่ล่าแบบพวกเรานะซี แล้วพี่หริ่งจะว่าอย่างไร จันถามขึ้น
ถึงตอนนั้นจริงๆ เราคงทําอะไรไม่ได้ เพราะเราจะไปห้ามคนไม่ให้บุกป่าล่าสัตว์มันก็คง
เป็นไปไม่ได้ ทางการบ้านเมืองเขายังไม่มีปัญญาห้าม ข้าเห็นป่าสงวนโดนบุกรุกอยู่ทุกที่ไป เราไม่
อย่าไปเร่งให้มันเร็วขึ้นก็ยังดี