Page 204 - แด่ศักดิ์ศรีเสมอกันทุกชั้นชน : วรรณกรรมกับสิทธิมนุษยชนศึกษา
P. 204

วรรณกรรมกับสิทธิมนุษยชนศึกษา   203



                     ในภาคเหนือมีประมาณ 1,000 ชุมชน แต่หลังจากที่กฎหมายป่าชุมชนฉบับ สนช. มีผลใช้บังคับกฎหมายจะ
                     ตัดสิทธิชุมชนเหล่านี้อย่างสิ้นเชิงชุมชนจะไม่มีสิทธิดูแลจัดการป่าชุมชนที่เคยดูแลอยู่อีกต่อไป  ที่ผ่านมาการ

                     จัดการป่าชุมชนดังกล่าวถือว่าผิดกฎหมายอุทยานแห่งชาติหรือกฎหมายเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า  แต่เนื่องจาก
                     เป็นที่ประจักษ์ว่าชุมชนได้ช่วยดูแลรักษาป่า ช่วยแบ่งเบาภาระจากภาครัฐ   ในทางปฏิบัติจึงได้มีการ
                     ประนีประนอมจากเจ้าหน้าที่รัฐให้ชุมชนจัดการป่าในรูปแบบ “ป่าชุมชน” ได้


                            มาตรา 34  กําหนดห้ามไม่ให้มีการทําไม้ในป่าชุมชนที่ตั้งอยู่ในเขตป่าอนุรักษ์  ปัญหาที่ตามมาคือ

                     มาตรานี้ สนช. ได้กําหนดว่าเมื่อชุมชนได้ผ่านการตรวจสอบคัดกรองจากกระบวนการตามกฎหมายจนเชื่อมั่น
                     ได้ว่าเป็น  “ชุมชนที่ดี”  เป็นชุมชนที่รักษาป่าและอนุญาตให้จัดตั้งป่าชุมชนได้แล้วกฎหมายอนุญาตให้ชุมชน

                     เก็บหา “ของป่า” ได้ตามกฎระเบียบที่กฎหมายกําหนด แต่สําหรับ “ไม้” ชุมชนมีสิทธิใช้เฉพาะไม้ไผ่และไม้
                     ฟืนเท่านั้น ส่วนไม้อื่น ๆ  ห้ามแตะต้องเด็ดขาด  ข้อกําหนดดังกล่าวอยู่บนพื้นฐานความเข้าใจผิดว่า  การใช้
                     ประโยชน์จากไม้เท่ากับการทําลายและไม่เชื่อว่าชุมชนดูแลรักษาได้อย่างยั่งยืน  ข้อบัญญัติใน มาตรา 34  จึง

                     ขัดแย้งกับวิถีชีวิตของชุมชนที่ต้องพึ่งพาป่า  และขัดแย้งกับความเป็นจริงที่พิสูจน์มานานจนเป็นที่ยอมรับแล้ว
                     ว่ามีชุมชนที่ดี ที่มีกฎเกณฑ์ และภูมิปัญญาในการใช้ประโยชน์จากไม้โดยรักษาป่าไว้ได้อย่างยั่งยืน


                            ดังนั้นมาตรา 25 และ 34 ในพ.ร.บ.ป่าชุมชนฉบับสนช. จึงมีผลทําให้เกิดการวิพากษ์และเคลื่อนไหว

                     ของเครือข่ายป่าชุมชนในทุกภูมิภาคออกมาประกาศไม่รับร่างกฎหมายฉบับนี้และจะผลักดันให้เกิดการยื่นเรื่อง
                     ต่อตุลาการรัฐธรรมนูญว่ากฎหมายป่าชุมชนฉบับสนช. นี้ขัดกับรัฐธรรมนูญฉบับปีพ.ศ. 2550  เรื่องสิทธิชุมชน
                     ในมาตรา 66 ต่อไป (บัณฑูร เศรษฐศิโรตม์, 2550: 9) ความขัดแย้งในหลักการและข้อกฎหมาย จนนําไปสู่ปัญหา

                     เรื่องการละเมิดสิทธิการจัดการทรัพยากรหรือที่ดินนั้นมีความซับซ้อนละเอียดอ่อนมาก แม้รัฐและองค์กรอิสระ

                     เครือข่ายต่างๆ รวมถึงกลุ่มชุมชน จะนํามาอภิปรายเพื่อพยายามหาข้อสรุปและหาทางออกก็ตาม

                            สังเขปมโนทัศน์ที่ผู้เขียนประมวลมาชี้ให้เห็นว่ามโนทัศน์ดังกล่าวเหมาะสมที่จะนํามาใช้อธิบายลักษณะ

                     สําคัญของวรรณกรรมของวัธนา บุญยัง ในที่นี้ ผู้เขียนบทความใช้คําว่า “วรรณกรรมวิจารณ์เชิงนิเวศ”  โดย
                     หมายถึง “ecocriticism”  ตาม ธัญญา สังขพันธานนท์ (2553) และใช้คําว่า “สิทธิชุมชน”  และ “สิทธิในการ

                     จัดการทรัพยากร”  ในความหมายเดียวกันแทนคําว่า “community  rights”  โดยที่สิทธิดังกล่าวสัมพันธ์กับ
                     ประเด็นป่าชุมชนด้วย


                            วรรณกรรมทั้ง 5  เรื่องที่เป็นข้อมูลในการศึกษาครั้งนี้มีแก่นแกนร่วมกันอยู่ คือ แนวคิดหลัก (theme)
                     ที่ว่า “มนุษย์ควรรักษาผืนป่าให้คงอยู่อย่างยั่งยืน เพราะป่าเป็นต้นกําเนิดของสรรพสิ่งที่เกื้อกูลมนุษย์”

                     แนวคิดดังกล่าวสะท้อนให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างคนกับป่า ปัญหาการทําลายป่า และชี้ให้เห็นว่าวัธนา บุญยัง
                     ตระหนักถึงความสัมพันธ์ของคนกับป่าและความสําคัญของธรรมชาติอย่างมาก
   199   200   201   202   203   204   205   206   207   208   209