Page 200 - แด่ศักดิ์ศรีเสมอกันทุกชั้นชน : วรรณกรรมกับสิทธิมนุษยชนศึกษา
P. 200
วรรณกรรมกับสิทธิมนุษยชนศึกษา 199
การนํามโนทัศน์วรรณกรรมวิจารณ์เชิงนิเวศมาใช้เป็นกรอบความคิดหลักในการศึกษาวรรณกรรมของไทย
ที่นั้น แม้จะเป็นสิ่งใหม่และอยู่ในระยะเริ่มต้น แต่ได้มีความพยายามในการเผยแพร่กระบวนทัศน์นี้ให้กว้างขวาง
ยิ่งขึ้น เช่น นํามโนทัศน์วรรณกรรมวิจารณ์เชิงนิเวศนี้ไปบรรจุในหลักสูตรการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยแล้ว เช่น
หลักสูตรในภาควิชาวรรณคดีเปรียบเทียบ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยการนําของตรีศิลป์ บุญขจร ที่ริเริ่ม
ศึกษามโนทัศน์วรรณกรรมวิจารณ์เชิงนิเวศอย่างเป็นระบบมากขึ้น เป็นผลให้เกิดวิทยานิพนธ์ด้านวรรณกรรมศึกษา
เล่มสําคัญที่ใช้มโนทัศน์วรรณกรรมวิจารณ์เชิงนิเวศเป็นแนวทางสําคัญเพื่อศึกษาวรรณคดีไทยตั้งแต่สมัยก่อน
สุโขทัยจนถึงรัตนโกสินทร์ตอนต้นคือ วิทยานิพนธ์ของธัญญา สังขพันธานนท์เรื่อง วรรณกรรมวิจารณ์เชิงนิเวศ:
วาทกรรมธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในวรรณกรรมไทย (2553) ผลการศึกษาพบว่ากระบวนทัศน์เกี่ยวกับ
ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในวรรณคดีไทยแบบจารีตนิยม มี 3 กระบวนทัศน์หลัก และมีรากฐานความคิดร่วมที่
สําคัญ คือ ระบบคิดที่ตระหนักรู้ในความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ การนอบน้อมและเคารพในธรรมชาติ อันเป็น
ระบบคิดพื้นฐานของจิตสํานึกเชิงนิเวศที่มีลักษณะสอดคล้องกับกระบวนทัศน์คตินิยมเชิงนิเวศเป็นศูนย์กลาง
(eco-centrism) แต่อย่างไรก็ตามกระบวมทัศน์ทั้งสามประการเกี่ยวข้องกับสภาพเศรษฐกิจ การเมือง สังคม
วัฒนธรรมและพัฒนาการทางการเมืองแต่ละยุค และก่อให้เกิดวาทกรรมสําคัญเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมในลักษณะ
ต่างๆ ที่แตกต่างกัน กล่าวคือ
(1) กระบวนทัศน์จิตสํานึกเชิงนิเวศแนวดั้งเดิม หมายถึง ระบบคิดเกี่ยวกับธรรมชาติในสังคมบุพกาล
ชี้ให้เห็นว่ามนุษย์มาจากธรรมชาติและต้องพึ่งพิงธรรมชาติเพื่อความอยู่รอด ธรรมชาติจึงเป็นมารดาแห่งโลก
(2) กระบวนทัศน์จิตสํานึกเชิงนิเวศแนวพุทธปรัชญา เป็นกระบวนทัศน์ในยุคก่อตั้งรัฐ ผู้ปกครองรัฐ
น้อยใหญ่ในสุโขทัย ล้านนาและบริเวณรอบๆ มีผู้ปกครองที่ยอมรับพุทธศาสนา จึงผสมผสานกระบวนทัศน์
จิตสํานึกเชิงนิเวศแนวดั้งเดิมเข้ากับปรัชญาพุทธศาสนา เกิดเป็นวาทกรรม ธรรมะ ธรรมชาติและศีลธรรมของ
บุคคลสัมพันธ์กันอย่างแนบแน่น เมื่อมีการปกครองที่ไม่อยู่ในธรรมจะส่งผลต่อธรรมชาติ เช่น วาทกรรม
ธรรมราชา วาทกรรมมหาบุรุษ กระบวนทัศน์นี้ปรากฏในไตรภูมิกถาอย่างเห็นได้ชัด
(3) กระบวนทัศน์จิตสํานึกเชิงนิเวศแนวชนชั้น เป็นกระบวนทัศน์ในวรรณคดีราชสํานักในสมัยอยุธยา
จนถึงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ที่ปกครองด้วยระบบเทวราชาและมีระบบชนชั้นในสังคม จึงก่อให้เกิดวาทกรรม
เกี่ยวกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมใหม่ที่สะท้อนความสัมพันธ์เชิงอํานาจระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ ระหว่าง
ผู้ชายกับผู้หญิงในสังคมศักดินา ความเหลื่อมล้ําและอติทางเพศแบบชายเป็นใหญ่เหนือกว่าหญิง ผ่านการใช้
ภาษาภาพพจน์และโวหารอุปมาอุปมัย นับเป็นการสืบทอดและผลิตซ้ําวาทกรรมธรรมราชา และสร้าง
วาทกรรมใหม่ขึ้นมารองรับอํานาจทางการเมือง เช่น วาทกรรมช้างเผือก วาทกรรมล่าสัตว์ ธรรมชาติจึง
เป็นสัญญะทางการเมือง ดังกรณีล่าสัตว์และการประกอบพิธีดุษฎีสังเวยกล่อมช้าง นอกจากนี้ในวรรณคดี
ราชสํานักในสมัยอยุธยาจนถึงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ยังสะท้อนให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ
2 แนวคือ แสดงสํานึกในความเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ กวีจึงให้ภาพความงดงามของธรรมชาติปรากฏ