Page 174 - แด่ศักดิ์ศรีเสมอกันทุกชั้นชน : วรรณกรรมกับสิทธิมนุษยชนศึกษา
P. 174

วรรณกรรมกับสิทธิมนุษยชนศึกษา   173



                                   เลือดนองจะนองภวมิเหือด              ก็เพราะเลือดละโมบไหล
                                   หลงเลศกิเลสอคติใน                   มนะคนมิพ้นผอง
                                   เลือดจับประทับรุธิระจันทร์          สุขะสันติ์ฤหวังครอง

                                   ด้วยเลือดมิเหือดพิภพนอง             ทุรยุคจะปลุกแปลง
                                                                                             (ทวีปวร, 2539: 26)

                            นอกจากที่ได้กล่าวไปแล้ว พบว่ายังมีกวีไทยที่ใช้สงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นเนื้อหาผลงานประพันธ์ที่

                     แสดงให้เห็นความจริงว่าในช่วงนั้นการประกาศเข้าร่วมทําสงครามกับฝ่ายอักษะซึ่งมีญี่ปุ่นเป็นผู้นําในแถบ
                     เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของรัฐบาลเป็นการตัดสินใจที่ไทยไม่ได้เต็มใจนัก และการที่ไทยตัดสินใจเช่นนั้นเป็น
                     การตัดสินใจประกาศที่ฝ่ายสัมพันธมิตรไม่ได้รับรู้ด้วย ดังจะเห็นได้จากบทกวีของ น.ม.ส. ในเรื่อง “สามกรุง”

                     ซึ่งได้กล่าวไว้ว่า

                                   ประเทศไทยใจสทก  ตกกระไดพลอยโจน  โอนฤทัยไปตาม  ประกาศสงครามโฆษณา

                            ว่าอเมริกาอังกฤษ  เป็นอมิตรของไทย  แต่ไชมมหาราษฐ์  ไม่ประกาศสงคราม  ตอบสยามสักคํา
                            ทําไม่รู้ไม่ชี้  การที่เป็นเช่นนี้  ชักโน้มนําใจ  ไฉนเนอฯ (น.ม.ส., 2518: 273-274)

                            การตั้งคําถามของ น.ม.ส. ในบทกวีข้างต้นนั้น เป็นการแสดงความสงสัยว่าการที่ฝ่ายสัมพันธมิตร

                     ไม่ได้รับรู้การประกาศเข้าร่วมสงครามของไทยนั้นเป็นเพราะเหตุใด  และเมื่อพิจารณาดูระยะเวลาที่แต่งบทกวี
                     บทนี้ คือ วันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ.2487 นั้น จึงทราบได้ว่าเรื่องที่ไทยมีขบวนการเสรีไทยที่เข้าอยู่กับฝ่าย

                     สัมพันธมิตรยังไม่เป็นเรื่องที่เปิดเผยในสังคมขณะนั้น น.ม.ส. ซึ่งเป็นกวีที่อยู่ในช่วงเหตุการณ์ที่ยังคลุมเครือ จึง
                     มีความสงสัย จึงตั้งคําถามต่อสังคม และแสดงออกด้วยกวีนิพนธ์ ลักษณะเช่นนี้เองที่แสดงให้เห็นว่ากวีได้
                     ตระหนักถึงการมีอยู่ของสิทธิในการแสดงความคิดเห็นและการมีส่วนร่วมทางการเมืองนั่นเอง

                            ตอนท้ายเรื่องของ “สามกรุง” น.ม.ส. ยังแสดงอารมณ์ประหวั่นกังวลถึงผลของการแพ้สงครามที่ไทย
                     จะได้รับ หากญี่ปุ่นแพ้สงครามด้วยว่าประเทศไทยจะมีทางออกเช่นไร ดังที่ น.ม.ส. กล่าวว่า

                                                  ฝ่ายเราเข้าเขตสร้าน   ใจเสียว
                                          ยุโหรปเยอรมันเดียว           เด่นข้าง
                                          อาสยาญี่ปุ่นเกลียว           ตึงหย่อน  ไฉนนา
                                          ใครจะเป็นใครบ้าง             เมื่อสิ้นสงคราม ฯ

                                   ใคร่ครวญส่วนปัจจุบัน อันบุคคลควรคนึง ต่อไปถึงภายน่า ว่าที่สุดยุทธแม้  ญี่ปุ่นแพ้
                            สงคราม สยามจะผันฉันใด ใครสามารถก่อกู้ ใครรู้ลู่ทางบ้าง ไทยจะเท้งเคว้งคว้าง ไขว่คว้าหาหน
                            ไหนเอยฯ  (น.ม.ส., 2518: 274)
   169   170   171   172   173   174   175   176   177   178   179