Page 42 - วารสารวิชาการสิทธิมนุษยชน. ปีที่ 3 ฉบับที่ 2 (กรกฎาคม - ธันวาคม 2561)
P. 42

ปีที่ 3 ฉบับที่ 2 (กรกฎาคม - ธันวาคม 2561)  41







                        • การระงับเนื้อหาโดยรัฐหรือการเซ็นเซอร์โดยรัฐ (State censorship) ประกอบด้วยหลักกฎหมาย
               ที่ให้อำานาจเจ้าหน้าที่หรือหน่วยงานรัฐปิดกั้นหรือระงับเนื้อหา ได้แก่ การให้อำานาจศาลสั่ง “ทำาลาย” ข้อมูลเนื้อหา

               ที่เป็นความผิด และกำาหนดความผิดสำาหรับผู้ครอบครองเนื้อหาข้อมูลที่ถูกสั่งให้ทำาลาย (มาตรา 16/1

               มาตรา 16/2) และการให้อำานาจพนักงานเจ้าหน้าที่ร้องขอศาลเพื่อออกคำาสั่งลบหรือระงับข้อมูลตามมาตรา 20
               ซึ่งแบ่งได้เป็นสองกรณี คือ การขอให้ศาลสั่งระงับการทำาให้แพร่หลายหรือลบข้อมูลที่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติ

               นี้หรือกฎหมายอื่น (มาตรา 20 วรรคแรก) และการขอให้ศาลสั่งระงับการทำาให้แพร่หลายหรือลบข้อมูลที่ไม่เป็น
               ความผิดตามกฎหมายแต่ “ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน” (มาตรา 20 วรรคสอง)

                        • การระงับเนื้อหาหรือการเซ็นเซอร์โดยภาคเอกชน (Private censorship) โดยอาศัยกลไก

               การแจ้งเตือนและระงับเนื้อหา (Notice and takedown) หลักการนี้ปรากฏในมาตรา 15 ซึ่งกำาหนดความรับผิด
               แก่ผู้ให้บริการที่ “ให้ความร่วมมือ ยินยอม รู้เห็นเป็นใจ” กับผู้ใช้งานที่เป็นผู้เผยแพร่เนื้อหาอันเป็นความผิด

               มาตรา 14 จากนั้นจึงวางข้อยกเว้นโทษหากผู้ให้บริการดำาเนินการตามกระบวนการแจ้งเตือนและระงับเนื้อหา

               ผลของหลักกฎหมายนี้ทำาให้ผู้ให้บริการดำาเนินการตรวจสอบคัดกรองเนื้อหาหรือเซ็นเซอร์เพื่อได้ประโยชน์
               จากข้อยกเว้นโทษ จึงจัดอยู่ในกลุ่มการปิดกั้นหรือระงับเนื้อหาโดยภาคเอกชน

                        หลักกฎหมายทั้งสองกลุ่ม เป็นการจำากัดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นที่ได้รับการรับรองตามรัฐธรรมนูญฯ

               มาตรา 34 ซึ่งโดยหลักแล้วกฎหมายดังกล่าวจะเป็นอันใช้บังคับมิได้ตามมาตรา 5 แห่งรัฐธรรมนูญฯ
               อย่างไรก็ตาม รัฐธรรมนูญฯ มาตรา 26 บัญญัติว่า “การตรากฎหมายที่มีผลเป็นการจำากัดสิทธิหรือเสรีภาพ

               ของบุคคลต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ในกรณีที่รัฐธรรมนูญมิได้บัญญัติเงื่อนไขไว้ กฎหมาย
               ดังกล่าวต้องไม่ขัดต่อหลักนิติธรรม ไม่เพิ่มภาระหรือจำากัดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลเกินสมควรแก่เหตุ

               และจะกระทบต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของบุคคลมิได้ รวมทั้งต้องระบุเหตุผลความจำาเป็นในการจำากัดสิทธิ

               และเสรีภาพไว้ด้วย” เมื่อพิจารณาเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นตามมาตรา 34 จะพบว่า รัฐธรรมนูญกำาหนด
               ข้อยกเว้นว่าเสรีภาพดังกล่าวอาจถูกจำากัดภายใต้เงื่อนไข “...บทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ตราขึ้นเฉพาะเพื่อรักษา

               ความมั่นคงของรัฐ เพื่อคุ้มครองสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลอื่น เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดี
               ของประชาชน หรือเพื่อป้องกันสุขภาพของประชาชน” ดังนั้น ประเด็นสำาคัญก็คือ หากหลักกฎหมายทั้งสองกลุ่ม

               ข้างต้นอยู่ในความหมายของ “บทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ตราขึ้นเฉพาะเพื่อ…” อันเป็นข้อยกเว้นตามรัฐธรรมนูญ

               ก็จะถือว่าเข้าข้อยกเว้นและใช้บังคับได้ แต่มีประเด็นต่อไปว่า ลำาพังเพียงตรากฎหมายที่จำากัดเสรีภาพในการแสดง
               ความคิดเห็นโดยอ้างหรือระบุเหตุ “ความมั่นคงของรัฐ ฯลฯ” จะถือว่าเพียงพอที่จะสอดคล้องกับเงื่อนไขนี้

               หรือไม่ ตัวอย่างเช่น มาตรา 14 (2) กำาหนดความผิดสำาหรับการเผยแพร่ส่งต่อเนื้อหาข้อมูลเท็จที่น่าจะเกิด

               ความเสียหายต่อการรักษาความมั่นคงของประเทศ จากตัวบทจะเห็นถึงการอ้างเหตุรักษาความมั่นคงของรัฐ
   37   38   39   40   41   42   43   44   45   46   47