Page 43 - รายงานการศึกษาวิจัยฉบับสมบูรณ์ สิทธิชุมชนในการจัดสรรทรัพยากรน้ำโดยใช้แนวทางสันติวิธี : กรณีศึกษาพื้นที่ต้นน้ำของประเทศไทย
P. 43
31
ขณะที่ Esfahani M.A. et al. (2006) ได้น้ารูปแบบการเพิ่มประสิทธิภาพภายใต้ทฤษฎีการต่อรองของ
เนช (Nash bargaining theory) เพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งในการจัดสรรทรัพยากรน้้าทั้งในแม่น้้า
และอ่างเก็บน้้าทางตอนใต้ของประเทศอิหร่าน ผลการศึกษาพบว่า รูปแบบการเพิ่มประสิทธิภาพการ
จัดสรรทรัพยากรน้้าดังกล่าวสามารถน้ามาใช้ได้จริงโดยพิจารณาจากความพึงพอใจของผู้เกี่ยวข้องและผู้
มีส่วนได้เสียจากการด้าเนินการจัดสรรทรัพยากรน้้า
ส่วนในประเทศกานา Gyamfi C. et al. (2013) ได้ศึกษาการป้องกันความขัดแย้งและกลไก
การจัดการทรัพยากรน้้าในเขตพื้นที่อ่างเก็บน้้าแบล็ค โวลตา (Black Volta Basin) ซึ่งพื้นที่ดังกล่าว
อยู่ในเขตกึ่งแห้งแล้ง ภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง และมีอัตราการเพิ่มของประชากรสูงขึ้น จึงเป็นเหตุให้
ทรัพยากรน้้าที่มีอย่างจ้ากัดมีความส้าคัญต่อการด้าเนินชีวิตของประชากรบริเวณนั้น รวมถึงอาจ
ก่อให้เกิดความขัดแย้งต่อการแย่งชิงการใช้ทรัพยากรน้้าด้วยเช่นกัน จากการจัดกิจกรรมสนทนากลุ่ม
การสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลส้าคัญ และผลการตอบแบบสอบถาม พบว่า ความขัดแย้งอาจเกิดขึ้นได้ระหว่าง
เกษตรกรผู้เพาะปลูกพืชและผู้เลี้ยงสัตว์ โดยเจ้าหน้าที่ในท้องถิ่นควรเป็นผู้ให้ค้าแนะน้าหรือให้
ค้าปรึกษาในการจัดการความขัดแย้งดังกล่าวแก่คู่กรณีภายในชุมชนนั้น ๆ ขณะที่ภูมิปัญญาท้องถิ่น
ของชุมชนถือเป็นจุดแข็งหรือเป็นเอกลักษณ์ต่อการจัดการทรัพยากรน้้าที่สามารถด้าเนินการอย่าง
ได้ผล นอกจากนี้ อีกหนึ่งกลยุทธ์ที่มีความส้าคัญต่อการขับเคลื่อนการจัดการทรัพยากรน้้า คือ
หน่วยงานท้องถิ่นและการเพิ่มบทบาทของชุมชนสู่การขับเคลื่อนสามารถลดความขัดแย้งในการ
จัดการทรัพยากรน้้าด้วยเช่นกัน ส่วนในประเทศไทย Apipalakul C. et al. (2015) ได้ศึกษา
พัฒนาการการมีส่วนร่วมของชุมชนต่อการจัดการความขัดแย้งในทรัพยากรน้้า พบว่า ความขัดแย้งใน
ทรัพยากรน้้า (ล้าน้้าพอง จังหวัดขอนแก่น) มีสาเหตุจากการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรน้้าทั้งเพื่อ
การเกษตรในเขตชลประทาน การใช้น้้าของชุมชน และอุตสาหกรรม ขณะเดียวกันน้้าในล้าน้้าพองเริ่ม
เน่าเสียจึงส่งผลต่อคุณภาพน้้าในการใช้ประโยชน์ต่อ ดังนั้น ทางออกส้าหรับการแก้ไขความขัดแย้ง
และจัดการทรัพยากรน้้าดังกล่าว ผู้เกี่ยวข้องทั้งสามภาคส่วนอันประกอบด้วย รัฐ เอกชน
(ภาคอุตสาหกรรม) และชุมชนควรด้าเนินการจัดท้าข้อตกลงการใช้ประโยชน์จากแหล่งน้้านั้นร่วมกัน
โดยสรุป จากการทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องในทั้งแนวคิดด้าน “สิทธิชุมชน” “การ
บริหารจัดการน้้า” และแนวทาง “สันติวิธี” พบว่าการให้สิทธิแก่ชุมชนในการบริหารและจัดการ
ทรัพยากรน้้านับเป็นวิธีการที่ได้รับการยอมรับระดับสากลและไทยได้ให้การรับรองไว้ในกฎหมายของ
ประเทศ ซึ่งเป็น แนวทางที่สามารถลดความขัดแย้งได้ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือนับเป็นการจัดการแบบ
“สันติวิธี” อันน้าไปสู่หนทางความส้าเร็จอย่างยั่งยืนในการจัดสรรทรัพยากรน้้า ซึ่งเห็นได้ว่าแม้ใน
ระดับนโยบายจะมีการส่งเสริมให้ชุมชนเข้ามาร่วมจัดการทรัพยากรน้้า ประกอบกับกฏหมายต่าง ๆ
ได้รับรองสิทธิของชุมชนในการมีส่วนร่วมจัดการทรัพยากรอย่างรอบด้าน รวมถึงการถือปฏิบัติตาม
อนุสัญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ดังนั้น การศึกษาในระดับพื้นที่เพื่อส้ารวจสถานการณ์การปฏิบัติ