Page 47 - รายงานการศึกษาวิจัยฉบับสมบูรณ์ สิทธิชุมชนในการจัดสรรทรัพยากรน้ำโดยใช้แนวทางสันติวิธี : กรณีศึกษาพื้นที่ต้นน้ำของประเทศไทย
P. 47
35
ลุ่มน าชี เป็นแม่น้้าสายที่ยาวที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งเป็นภูมิภาคที่มีประชากร
หนาแน่นมากที่สุด มีพื้นที่ลุ่มน้้ารวมทั้งสิ้น 49,131.92 ตารางกิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ 16 จังหวัด
ประชากรเกือบทั้งพื้นที่ของจังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือได้อาศัยลุ่มน้้านี้เพื่อการประกอบอาชีพ
การเกษตร แม่น้้านี้จึงเป็นเสมือนเส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงคนทั้งภูมิภาคนี้ และยังเป็นแหล่งน้้าธรรมชาติที่
สร้างผลผลิตให้ประชากรเกือบทั้งหมดของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
3. พิจารณาจากสภาพการใช้สิทธิในการบริหารจัดการน้้า เมื่อพิจารณาจากสภาพพื้นที่ทั้ง
สองภูมิภาคแล้ว ประชากรทั้งภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ นับเป็นกลุ่มประชากรที่มี
พื้นฐานทางประวัติศาสตร์และการสืบทอดวัฒนธรรมประเพณีเกี่ยวกับการให้ความส้าคัญกับแหล่งน้้า
ธรรมชาติที่มีความคล้ายคลึงกัน ซึ่งเป็นมรดกทางความคิดต่อการบริหารจัดการทรัพยากรน้้าที่สืบทอด
กันมาตั้งแต่อดีต ประชากรทั้งสองภูมิภาคสามารถอยู่กับธรรมชาติได้อย่างกลมกลืนและเกื้อกูลกัน
มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมและความเชื่อที่เป็นของตนอันเป็นจุดเด่นในการบริหารจัดการน้้าที่มี
แนวทางของชุมชนมายาวนาน ดังนั้น เมื่อการบริหารจัดการน้้าให้อ้านาจแก่ภาครัฐเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะ
พระราชบัญญัติทรัพยากรน้้า ปี พ.ศ. 2561 ที่พยายามจะลดบทบาทชุมชนท้องถิ่นในด้านการบริหาร
จัดการทรัพยากรน้้าและให้อ้านาจภาครัฐเพิ่มขึ้นในด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้้า ซึ่งขัดกับความเชื่อ
ในการบริหารจัดการน้้าของชุมชนท้องถิ่นที่เป็นจุดแข็งของประชากรทั้งสองภูมิภาคอย่างชัดเจน
เพื่อเป็นการยืนยันถึงสิทธิของชุมชนในความสามารถด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้้าที่เป็นความเชื่อ
มาตั้งแต่อดีต จึงเป็นเหตุผลส้าคัญประการหนึ่งที่คณะผู้วิจัยได้คัดเลือกพื้นที่ในการศึกษาประชากรทั้ง
สองภูมิภาคเป็นกลุ่มตัวอย่างที่ส้าคัญในการบริหารจัดการทรัพยากรน้้าตามแนวทางสันติวิธี เพราะ
ประชากรทั้งสองภูมิภาคแสดงให้เห็นตั้งแต่ในอดีตมาแล้วในประเพณีความเชื่อต่าง ๆ เกี่ยวกับการ
ดูแลทรัพยากรน้้าที่ส่งผลต่อความยั่งยืนทรัพยากรน้้าและทรัพยากรธรรมชาติแบบองค์รวมในอนาคต
3.2 การเก็บรวบรวมข้อมูล
ส้าหรับประชากรกลุ่มเป้าหมาย คณะผู้วิจัยเลือกประชากรที่อาศัยในบริเวณพื้นที่ต้นน้้าของ
ทั้งสองลุ่มน้้า ซึ่งหากประชากรในพื้นที่ต้นน้้าได้รับผลกระทบจากสิทธิการเข้าถึงการใช้ประโยชน์ใน
ทรัพยากรน้้าจะก่อให้เกิดผลเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมบริเวณพื้นที่ต้นน้้าไปด้วย เมื่อประชากรในพื้นที่
ต้นน้้าได้รับผลกระทบจากสิทธิการเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากแหล่งที่เขาอยู่อาศัยแล้วประชาชนก็
ย่อมไม่เห็นถึงความส้าคัญต่อการรักษาแหล่งน้้าบริเวณพื้นที่ต้นน้้า อันจะเป็นผลกระทบเป็นทอด ๆ
ต่อกันไปถึงประชากรในพื้นที่กลางน้้าและปลายน้้า ที่พึ่งพาอาศัยลุ่มน้้านั้นในการด้ารงชีวิต โดยเฉพาะ
ผู้ที่อยู่อาศัยในพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งเป็นพื้นที่ประสบปัญหาภัยแล้ง และ
ปัญหาน้้าท่วมอยู่เป็นประจ้า ท้าให้ประชากรที่ได้รับผลกระทบมีจ้านวนมาก