Page 87 - ข้อเสนอแนะการเข้าถึงความยุติธรรมของผู้หญิงมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้
P. 87

ดังนั้น การปฏิบัติตามแบบฉบับของท่านนบี (ซ.ล.) จึงเป็นสิ่งส�าคัญและจ�าเป็นส�าหรับผู้ศรัทธามุสลิมทุกคน
              จะเห็นได้ว่า ท่านนบี (ซ.ล.) สอนให้เราต้องมีความรัก ความเมตตาต่อผู้หญิง และยังได้ห้ามการท�าร้ายผู้หญิง ซึ่งเรา

              ต้องสรุปได้แล้วว่า  ค�าว่า “ฎ่อร่อบะ” ไม่อาจแปลความหมายได้ว่า เป็นการเฆี่ยนตีท�าร้าย

                     มีรายงานว่า หลังจากได้มีโองการที่ ๔: ๓๔ เมื่ออัครสาวกบางท่านแปลว่าความหมายว่าสามารถเฆี่ยนตี

              ภรรยาได้ และได้ท�าร้ายภรรยา ท่านนบี (ซ.ล.) ได้ห้ามพฤติกรรมดังกล่าว และได้กล่าวว่า

                     “แท้ที่จริงแล้ว ได้มีผู้หญิงกลุ่มใหญ่ได้มารวมตัวกันที่บ้านของฉันนี่ และได้ตัดพ้อเกี่ยวกับสามีของ

              พวกนางจะหาคนดีไม่ได้เลยในหมู่พวกท่าน”


                     และท่านนบี (ซ.ล.) ได้สอนอัครวสาวกว่า
                     “จงให้อาหารแก่เธอเหมือนที่ท่านกิน ให้เสื้อผ้าเหมือนที่ท่านสวมใส่ และจงอย่าเฆี่ยนตีหรือท�าร้ายพวกเธอ”


                     “ฉันขอเตือนท่านในเรื่องให้ท�าดีต่อผู้หญิง พวกเธอคือ สหายและผู้ช่วยเหลือท่านอย่างจริงจัง แท้จริง
              ท่านมีสิทธิ์เหนือผู้หญิง และผู้หญิงก็มีสิทธิเหนือท่านเช่นกัน”


                     ค�าสอนนี้จึง แสดงให้เห็นถึงปรัชญาความศรัทธาในอิสลามดังที่ท่านนบี (ซ.ล.) กล่าวว่า
                     “ไม่มีการท�าร้ายและแก้แค้นกันและกันในศาสนา”


                     และท่านนบี (ซ.ล.) ยังได้กล่าวอีกว่า
                     “จงเกรงกลัวอัลลอฮ์ ในการให้ความเคารพให้เกียรติต่อผู้หญิง เพราะแท้ที่จริงแล้วพวกเธอคือหุ้นส่วน

              และผู้ให้การช่วยเหลือพวกท่าน และแท้จริง พวกเธอมีสิทธิเหนือท่าน และท่านก็มีสิทธิเหนือเธอ”

                     ท้ายที่สุด ท่านนบี (ซ.ล.) จึงกล่าวว่า

                     “ผู้ที่ดีที่สุดในหมู่พวกท่าน คือผู้ที่กระท�าดีที่สุดต่อครอบครัว และฉันคือ ผู้ที่ดีที่สุดในหมู่พวกท่านที่ท�าดี
              ต่อครอบครัว”

                     ท่านนบีได้ห้ามการเฆี่ยนตีผู้หญิง โดยเปรียบไว้ว่า “จงอย่าทุบตีบ่าว (ผู้หญิง) ของพระผู้เป็นเจ้า”“จงอย่า
              เฆี่ยนตีภรรยาของท่านเยี่ยงทาส” และ “ท่านไม่ละอายใจบ้างหรือในการเฆี่ยนตีภรรยาเยี่ยงทาส โดยท่านเฆี่ยนตีเธอ
              ในตอนกลางวัน และก็มีเพศสัมพันธ์กับเธอในตอนกลางคืน”


                     และค�าสอนโดยทั่วๆ ไปที่ท่านนบี (ซ.ล.) สอนไว้คือ

                     “จงตอบรับเมื่อมีคนเรียก/เชิญ จงอย่าปฏิเสธของรางวัล (ที่มีคนมอบให้เป็นน�้าใจ) และจงอย่าท�าร้าย/ตี
              ไม่ว่าจะเป็นมุสลิมหรือคนทั่วไปก็ตาม”


                     ท่านหญิงอาอิยชะฮ์ ได้กล่าวถึงท่านนบี (ซ.ล.) ไว้ว่า
                     “ท่านนบี  (ซ.ล.) ไม่เคยเฆี่ยนตีภรรยาหรือบ่าวรับใช้ของท่านเลย”


                     ดังนั้น จากหลักฐานและเหตุผลดังกล่าวข้างต้น ได้สะท้อนถึงแง่มุมเชิงบวกในค�าสอนของศาสนาอิสลาม
              ที่มีเป้าหมายในการสถาปนาสันติสุข ความรัก ความยุติธรรม ความเท่าเทียมและความมั่นคงให้เกิดขึ้นในสังคม

              ความรุนแรงในครอบครัวโดยเฉพาะการท�าร้ายเด็กและผู้หญิงจึงเป็นสิ่งที่ไม่อาจยอมรับจากแง่มุมค�าสอนของศาสนา
              อิสลามทั้งจากการพิจารณาตัวบทในอัล-กุรอ่าน และแบบอย่างจริยวัตรของท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ.ล.)



                76     ข้อเสนอแนะ การเข้าถึงความยุติธรรมของผู้หญิงมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้
   82   83   84   85   86   87   88   89   90   91   92