Page 552 - รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ เรื่อง กฎหมายว่าด้วยความเสมอภาคและการไม่เลือกปฏิบัติ
P. 552

528


                           เมื่อพิจารณากฎหมายไทยที่เกี่ยวข๎องในปัจจุบันโดยเฉพาะในกรอบกฎหมายแรงงานจะเห็นได๎วํา

                   กฎหมายแรงงานหรือระเบียบที่เกี่ยวกับสถานประกอบการยังไมํมีข๎อกําหนดในเรื่องการเข๎าทํางานของผู๎ติด
                   เชื้อเอชไอวี หากพิจารณาตามหลักขอบแหํงการใช๎ดุลพินิจ ตามที่วิเคราะห์มาแล๎ว จะเห็นได๎วํา หาก

                   กฎหมายกําหนดให๎บุคคลผู๎มีเชื้อเอชไอวีไมํสามารถเข๎าทํางานโดยไมํมีข๎อยกเว๎นหรือโดยไมํคํานึงถึงความ

                   แตกตํางของลักษณะงาน อาจพิจารณาได๎วําเป็นการเหมารวมและอาจถือไมํได๎วํามี “น้ําหนักเป็นอยํางยิ่ง”
                   (very  weighty  reasons-test)  แม๎หลักการขอบแหํงดุลพินิจดังจะอยูํในบริบทของกฎหมายระหวําง

                   ประเทศและการกระทําหรือการตรากฎหมายของรัฐก็ตาม แตํอาจนําหลักการนี้มาวิเคราะห์วําการปฏิบัติ
                   ของภาคเอกชนนั้นเป็นการปฏิบัติตํอบุคคลแตกตํางกันโดยมีเหตุผลสมควรหรือไมํ สําหรับเหตุผลอันสมควร

                   นั้นจะเกี่ยวข๎องกับหลัก “คุณสมบัติอันเป็นสาระสําคัญหรือจําเป็นกับงาน” ดังจะกลําวถึงตํอไป


                           เมื่อเปรียบเทียบกับการนํา “ประวัติอาชญากรรม”  มาเป็นเงื่อนไขของการรับบุคคลเข๎าทํางานใน

                   ภาคเอกชนดังที่วิเคราะห์มาแล๎วข๎างต๎น จะเห็นได๎วํา สภาพของประเด็นปัญหามีลักษณะคล๎ายคลึงกัน
                   กลําวคือ ภาคเอกชนปฏิบัติตํอบุคคลซึ่งเป็นผู๎สมัครเข๎าทํางานแตกตํางกันด๎วยเหตุบางประการที่มีลักษณะ

                   เกี่ยวข๎องกับเหตุแหํงการเลือกปฏิบัติ ทั้งนี้ตามกฎหมายตํางประเทศ เชํน ออสเตรเลียนั้น พบวํา ในกรณี

                   การนําประวัติอาชญากรรมมาใช๎เป็นเหตุปฏิบัติตํอบุคคลแตกตํางกันในมิติการจ๎างแรงงานนั้น อาจทําได๎
                   หากประวัติอาชญากรรมมีความเกี่ยวข๎องกับ “คุณสมบัติอันเป็นสาระสําคัญสําหรับงานนั้น” (Inherent

                   Requirement Exception) โดยหลักการนี้ หากการติดเชื้อเอชไอวี มีความเกี่ยวข๎องกับ คุณสมบัติอันเป็น
                   สาระสําคัญสําหรับงาน ก็อาจมีการปฏิบัติตํอผู๎ติดเชื้อแตกตํางออกไปได๎



                           ดังนั้นจะเห็นได๎วํา การนําเหตุ “ติดเชื้อเอชไอวี” มาเป็นเงื่อนไขในการปฏิบัติตํอบุคคลแตกตํางกัน
                   ในมิติการจ๎างแรงงานภาคเอกชนนั้น อาจทําได๎โดยไมํเป็นการเลือกปฏิบัติหากนโยบายหรือมาตรการนั้นอยูํ

                   บนพื้นฐานของเหตุผลอันสมควร โดยเฉพาะมีความเกี่ยวข๎องกับ “คุณสมบัติอันเป็นสาระสําคัญของงาน
                   นั้น”  อยํางไรก็ตาม จากกรณีตามคําร๎องตํอคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแหํงชาติ พบวํา แม๎ผู๎ถูกร๎องอ๎าง

                   เหตุผลเพื่อความปลอดภัย เนื่องจกกตําแหนํงงานนั้นต๎อง “สัมผัสอาหาร” แตํผู๎ร๎องอ๎างวํา “การติดเชื้อเอช

                   ไอวีไมํได๎สํงผลตํอคนรอบข๎าง และไมํได๎กํออันตรายตํอผู๎อื่น” คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแหํงชาติเห็นด๎วย
                   กับผู๎ร๎องในประเด็นนี้ โดยให๎เหตุผลวํา “…เกินจ าเป็นของลักษณะประเภทการจ้างงานที่เป็นสาระส าคัญ

                   ทั้งที่บุคคลที่ติดเชื้อเอชไอวีสามารถปฏิบัติงานได้ในสถานภาพเดียวกันโดยไม่จ ากัดทางสุขภาพอนามัย

                   ..” จะเห็นได๎วํา คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแหํงชาติได๎นําเอาหลัก “คุณสมบัติอันเป็นสาระสําคัญสําหรับ
                   งาน”  มาประกอบการพิจารณาด๎วย ซึ่งก็ต๎องขึ้นอยูํกับข๎อเท็จจริงเป็นกรณีไปวําการติดเชื้อเอชไอวีจะเป็น

                   อุปสรรคสําหรับงานนั้นๆหรือไมํ
   547   548   549   550   551   552   553   554   555   556   557