Page 507 - รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ เรื่อง กฎหมายว่าด้วยความเสมอภาคและการไม่เลือกปฏิบัติ
P. 507
483
“….เฟสบุคจะนําออกซึ่งเนื้อหาข๎อมูลที่เป็น Hate Speech อันรวมถึงเนื้อหาซึ่งมุํงโดยตรงตํอการ
โจมตีบุคคลบนพื้นฐานของ เชื้อชาติ กลุํมชาติพันธุ์ ชาติกําเนิด ความเชื่อทางศาสนา รสนิยมทางเพศ เพศ
ความพิการหรือโรค
ผู๎ใช๎งานสามารถใช๎เฟสบุคในการแสดงความเห็นท๎าทายความคิด สถาบัน การปฏิบัติใดๆ ซึ่งการ
อภิปรายเชํนนั้นเป็นการสํงเสริมให๎เกิดการโต๎แย๎งและความเข๎าใจที่มากขึ้น ในบางครั้ง บุคคลอาจแชร์
เนื้อหาเกี่ยวกับ Hate Speech ของบุคคลอื่นเพื่อวัตถุประสงค์การเพิ่มความตระหนักหรือเพื่อการให๎ความรู๎
แกํผู๎อื่นเกี่ยวกับ Hate Speech นั้น หากเกิดกรณีเชํนนี้ เราคาดหมายวําผู๎ใช๎งานที่แชร์ข๎อมูลดังกลําวจะทํา
การแจ๎งวัตถุประสงค์ของการแชร์นั้นให๎เราทราบอยํางชัดเจน
เฟสบุคอนุญาตการสื่อสารเกี่ยวกับอารมณ์ขัน เสียดสี ความเห็นทางสังคม เกี่ยวกับเนื้อหานั้นๆได๎
เฟสบุคมีความพยายามที่จะนําออกเสียซึ่งข๎อมูล “Hate Speech” รวมทั้งจัดให๎มีซึ่งเครื่องมือสําหรับ
ผู๎ใช๎งานในการหลีกเลี่ยงเนื้อหา Hate Speech (เชํน ผู๎ใช๎งานสามารถ บล็อก อันเฟรนด์ บุคคลที่โพสต์ แชร์
เนื้อหา Hate Speech หรือตั้งคําความเป็นสํวนตัวของตนเพื่อไมํให๎เห็นถึงเนื้อหาเหลํานั้น) เฟสบุค
สนับสนุนให๎มีการสื่อสารข๎อมูลด๎านตรงข๎าม (Counter speech) ในรูปแบบของการให๎ข๎อมูลที่ถูกต๎อง และ
การแสดงความเห็นทางเลือก...” เกณฑ์การจัดการกับ Hate Speech ของเฟสบุค มีการระบุ “เหตุ” แหํง
ความเกลียดชังที่จะถือวําเป็น Hate Speech ไว๎ ซึ่งในหลายๆเหตุก็สอดคล๎องเหตุแหํงการคุ๎มครองตาม
กฎหมายสิทธิมนุษยชนระหวํางประเทศ แตํทั้งนี้เฟสบุคก็ไมํได๎ระบุองค์ประกอบไว๎อยํางชัดเจน วําแคํไหน
เพียงใด ถึงจะเป็น Hate Speech เนื่องจากในทางปฏิบัติเป็นการยากที่จะระบุชัดเจนเชํนนั้น ในทางปฏิบัติ
จึงเป็นการใช๎ดุลพินิจของทางผู๎ให๎บริการเฟสบุคที่จะดําเนินการกับข๎อมูลที่มีลักษณะ “Hate Speech”
4.15.11 วิเคราะห์เปรียบเทียบกับกฎหมายไทย
ในสํวนนี้จะเริ่มจากการวิเคราะห์ “Hate Speech” ภายใต๎องค์ประกอบของกฎหมายไทยที่
เกี่ยวข๎องหรือใกล๎เคียงเพื่อชี้ให๎เห็นความแตกตํางระหวําง “Hate Speech” กับความผิดตามกฎหมายไทย
ที่เป็นอยูํในปัจจุบัน จากนั้นจะได๎ทําการวิเคราะห์เปรียบเทียบกฎหมายตํางประเทศกับกฎหมายไทยในสํวน
ที่เกี่ยวข๎องกับ “Hate Speech”