Page 472 - รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ เรื่อง กฎหมายว่าด้วยความเสมอภาคและการไม่เลือกปฏิบัติ
P. 472
448
4.15 การสื่อสารที่ท าให้เกิดความเกลียดชัง (Hate Speech)
ในบริบทของกฎหมายสิทธิมนุษยชนนั้น การเลือกปฏิบัติยังเกี่ยวข๎องกับมิติของ “การได๎รับการ
ปฏิบัติที่ทําให๎เกิดความพึงพอใจน๎อยกวําในการปฏิบัติตํอคนอื่นในที่สาธารณะ หรือการ ปฏิบัติตํอบุคคลอื่น
ในลักษณะกีดกันด๎วยเหตุแหํงการเลือกปฏิบัติ (less favorably treatment)” โดยนัยนี้ การสื่อสารที่ทําให๎
425
เกิดความเกลียดชัง (Hate Speech) จึงอยูํในขอบเขตการศึกษาเรื่องการเลือกปฏิบัติด๎วย ข๎อเท็จจริงที่
จัดอยูํในขอบเขตของประเด็นปัญหานี้ เชํน การเผยแพรํข๎อมูลตํอสื่อสาธารณะให๎เกิดความเกลียดชังตํอ
บุคคลกลุํมหนึ่ง ซึ่งจัดอยูํในกลุํมที่เกี่ยวข๎องกับเหตุแหํงการเลือกปฏิบัติ เชํน เชื้อชาติ สีผิว รสนิยมทางเพศ
ฯลฯ ทั้งนี้จะเห็นได๎วํา ในด๎านหนึ่ง บุคคลมีสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานในการแสดงออกซึ่งความคิดเห็นและ
การสื่อสาร อยํางไรก็ตาม ในอีกด๎านหนึ่ง การใช๎เสรีภาพดังกลําวอาจนําไปสูํการสร๎างความขัดแย๎งและความ
เกลียดชัง รวมไปถึงอาจนําไปสูํการกํอให๎เกิดความรุนแรงทางกายภาพและความไมํสงบเรียบร๎อยในสังคม
โดยเฉพาะอยํางยิ่ง การสื่อสารที่กํอให๎เกิดความเกลียดชังด๎วยเหตุแหํงการเลือกปฏิบัติ (Discriminatin
ground) อันเกี่ยวข๎องกับคุณลักษณะของกลุํมบุคคลที่กฎหมายสิทธิมนุษยชนมุํงคุ๎มครอง เชํน เชื้อชาติ
ศาสนา สีผิว ความพิการ เพศ รสนิยมทางเพศ เป็นต๎น ดังนั้น การกระทําดังกลําวอาจพิจารณาได๎วําเป็นการ
ปฏิบัติตํอบุคคลกลุํมหนึ่งแตกตํางจากอีกกลุํมหนึ่งบนพื้นฐานของเหตุแหํงการเลือกปฏิบัติตํางๆ ทําให๎
“Hate Speech” จัดอยูํในขอบเขตกฎหมายสิทธิมนุษยชนในสํวนของการเลือกปฏิบัติ ด๎วยเหตุนี้ ในหัวข๎อ
นี้จะได๎ทําการศึกษาวิจัยถึง “การสื่อสารที่ทําให๎เกิดความเกลียดชัง (Hate Speech)” ในมิติของการเลือก
ปฏิบัติตามกฎหมายสิทธิมนุษยชน โดยเริ่มจากการชี้ให๎เห็นถึงสภาพทั่วไปของ “Hate Speech” ในบริบท
ของสิทธิมนุษยชน จากนั้นจะศึกษาความหมายทั่วไปของ “Hate Speech” จากนั้นจะศึกษาหลักการทั่วไป
ของสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานในการแสดงความคิดเห็น เพื่อที่จะนําไปสูํการวิเคราะห์เปรียบเทียบ
กฎหมายระหวํางประเทศ กฎหมายตํางประเทศ และกฎหมายไทยที่เกี่ยวข๎องตํอไป
4.15.1 “Hate Speech” ในบริบทของสิทธิมนุษยชน
ในบริบทของสิทธิมนุษยชนนั้น การแสดงออกซึ่งความเกลียดชัง มีจุดเริ่มจากการแสดงออก
เกี่ยวกับการเหยียดเชื้อชาติ สีผิว (Racism) เชํน การตํอต๎านยิว (Anti-Semitism) รวมไปถึงทัศนคติการ
เกลียดกลัวคนตํางชาติ (Xenophobia) แนวคิดเชํนนี้มีรากฐานทางประวัติศาสตร์ยาวนานและเกี่ยวข๎องกับ
425 เนื่องจากคําดังกลําวยังไมํมีการบัญญัติหรือกําหนดนิยามไว๎ตามกฎหมายไทย ในงานวิจัยนี้จะใช๎คําทับศัพท์ “Hate
Speech” สลับกับ “การสื่อสารที่ทําให๎เกิดความเกลียดชัง”