Page 476 - รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ เรื่อง กฎหมายว่าด้วยความเสมอภาคและการไม่เลือกปฏิบัติ
P. 476

452


                           (3) ในทางกฎหมายสิทธิมนุษยชนนั้น “Hate Speech” มีความเกี่ยวข๎องสัมพันธ์กับ “เหตุแหํงการ
                   เลือกปฏิบัติ”  (Discrimination  Grounds)  เชํน เชื้อชาติ ศาสนา สีผิว เพศ ฯลฯ ลักษณะของ “Hate

                   Speech” ข๎อนี้จะทําให๎สามารถจําแนกความแตกตํางระหวํางการสื่อสารที่กํอให๎เกิดความเกลียดชังที่แม๎วํา
                   เกิดจากความ “เกลียดชัง”  เชํนเดียวกัน แตํสืบเนื่องจากมูลเหตุอื่น เชํน ความเกลียดชังอันสืบเนื่องกับ
                   ความสัมพันธ์สํวนบุคคล ออกจาก “Hate  Speech”  ในบริบทของกฎหมายสิทธิมนุษยชน สําหรับสื่อสาร
                   ความเกลียดชังที่มีมูลเหตุอันไมํเกี่ยวข๎องกับเหตุแหํงการเลือกปฏิบัตินั้น ก็จะต๎องไปพิจารณากฎหมายอื่นที่

                   เกี่ยวข๎องตํอไป

                           (4)  การสื่อสารความเกลียดชัง อาจนําไปสูํผลในเชิงนามธรรม เชํน การแบํงแยกบุคคลในสังคมให๎

                   แตกตํางกันด๎วยเหตุแหํงการเลือกปฏิบัติตํางๆ หรืออาจสํงผลในเชิงรูปธรรม เชํน การปลุกระดมให๎เกิดความ
                   รุนแรงทางกายภาพ หรือ ยั่วยุให๎เกิดการเลือกปฏิบัติในมิติตํางๆตํอบุคคลบางกลุํม เชํน การไมํรับบุคคลบาง
                   กลุํมเข๎าทํางาน การปฏิเสธไมํให๎บริการกับบุคคลบางกลุํม เป็นต๎น





                           4.15.3 ความสัมพันธ์ระหว่างเสรีภาพในการสื่อสาร (Freedom of Speech) และ การสื่อสาร
                   ที่ท าให้เกิดความเกลียดชัง


                           เสรีภาพในการสื่อสาร (Freedom  of  Speech)  เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่สําคัญของมนุษย์ ทั้งนี้
                   เนื่องจาก การที่มนุษย์สามารถทําการสื่อสารใดๆตามความประสงค์ของตนนั้น เป็นการแสดงออกซึ่งตั้งอยูํ
                                                                                 437
                   บนแนวคิด  “การควบคุมหรือกําหนดตนเอง”  (Personal  Autonomy)  หรือการกําหนดตัดสินใจใน
                                                          438
                   เรื่องราวเกี่ยวกับตน (Self-Determination)     โดยเฉพาะในระบอบการเมืองการปกครองแบบ
                   ประชาธิปไตยนั้น เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นทําให๎เกิดการมีสํวนรํวมทางการเมืองของประชาชน โดย
                   ที่ประชาชนสามารถแสดงความคิดเห็นในประเด็นทางการเมืองและประเด็นสาธารณะตํางๆ (Public
                   Opinion)


                           ดังนั้น โดยทั่วไปแล๎ว การสื่อสารที่ประกอบด๎วยเนื้อหาตํางๆ รวมทั้งการสื่อสารเรื่องราวเกี่ยวกับ
                   ความแตกตํางในความคิดเห็นด๎าน เชื้อชาติ สีผิว เพศ ก็จัดวําอยูํภายใต๎แนวคิดและหลักการของ เสรีภาพใน
                   การสื่อสาร ดังนั้น การกําหนดกฎหมายหรือมาตรการใดๆที่สํงผลจํากัดเสรีภาพในการสื่อสาร โดยเฉพาะ

                   การสื่อสารสาธารณะ (Public  Discourse)  ก็ยํอมเป็นการสํงผลกระทบตํอเสรีภาพซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน








                   437  Sarah Buss, “Personal Autonomy,” in The Stanford Encyclopedia of Philosophy, Edward N. Zalta,
                   ed. (2002), Retrieved from http://plato.stanford.edu/entries/personal-autonomy.
                   438   Robert  C.  Post,  “Racist  Speech,  Democracy, and  the  First Amendment,”  William  &  Mary  Law
                   Review 32 (1991): 267, 325–26.
   471   472   473   474   475   476   477   478   479   480   481