Page 475 - รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ เรื่อง กฎหมายว่าด้วยความเสมอภาคและการไม่เลือกปฏิบัติ
P. 475

451


                           - สําหรับในประเทศไทยนั้น ผู๎ชํวยศาสตราจารย์ ดร. พิรงรอง รามสูตร เรียก “Hate Speech” วํา
                   “ประทุษวาจา”  และให๎ความหมายวํา “เป็นการสื่อสารที่แสดงถึงความเกลียดชังผํานรูปแบบอันไมํ

                   เหมาะสม ไมํวําจะเป็นการดูหมิ่นเหยียดหยาม ใสํร๎ายปูายสี ไปจนถึงการดําทออยํรางหยาบคาย โดยมี
                   ลักษณะของการปลุกปั่น ยุยง หรือปลุกระดมให๎เกิดความเกลียดชังตํอบุคคลหรือกลุํมบุคคลกลุํมใดกกลุํม
                   หนึ่ง ซึ่งประเด็นการโจมตีพุํงเปูาไปที่ ลักษณะเฉพาะ ทั้งที่เปลี่ยนแปลงไมํได๎ เชํน เชื้อชาติ เพศสภาพ และ
                   เปลี่ยนแปลงได๎ เชํน ศาสนา อุดมการณ์ โดยการสื่อสารดังกลําวนั้นอาจกํอให๎เกิดผลลัพธ์ในการแบํงแยกไป

                   จนถึงการขจัดกลุํมบุคคลดังกลําวออกจากสังคม ไมํวําจะโดยใช๎ความรุนแรงทางกายภาพหรือความรุนแรง
                   ในเชิงนามธรรมก็ตาม ทั้งนี้เพียงแคํการกลําวออกมาเพื่อให๎อีกฝุายเกิดความเจ็บปวดก็ถือวําเป็นสํวนหนึ่ง
                                                         435
                   ของผลลัพธ์จาก Hate Speech เชํนเดียวกัน”

                            จากความหมายดังกลําวข๎างต๎น ผู๎วิจัยจะได๎จําแนกองค์ประกอบที่สําคัญ (Elements) ของ “Hate
                   Speech” ในบริบทของกฎหมายสิทธิมนุษยชนและการห๎ามเลือกปฏิบัติ ได๎ 4 ประการ ดังนี้


                           (1) การแสดงออกซึ่งการสื่อสารมีความหมายกว๎างกวําคําพูด ทั้งนี้แม๎วําจะใช๎คําวํา “Speech” แตํ
                   ก็ไมํได๎มีความหมายจํากัดเฉพาะ การพูดหรือการสื่อสารด๎วยวาจา (Verbal  Communication)  แตํมี
                   ความหมายครอบคลุม แสดงออกโดยการสื่อสารในรูปแบบตํางๆ เชํน คําพูด ลายลักษณ์อักษร พฤติกรรม

                   กิริยาอาการ ภาพ ปูาย สัญลักษณ์ โดยอาจแสดงออกในชํองทางการสื่อสารตํางๆ ไมํวําจะเป็นชํองทาง
                                                  436
                   กายภาพหรือชํองทางอิเล็กทรอนิกส์

                           (2) “Hate Speech” มีความแตกตํางจากการสื่อสารที่มีความผิดตามกฎหมายอื่น เชํน การหมิ่น
                   ประมาทตามกฎหมายอาญา เนื่องจาก กฎหมายอาญาฐานหมิ่นประมาทนั้น มุํงคุ๎มครองชื่อเสียงของปัจเจก
                   ชนคนใดคนหนึ่งซึ่งอาจได๎รับความเสียหายจากการเผยแพรํข๎อมูลที่ทําให๎เสื่อมเสียชื่อเสียงบุคคลนั้นโดย
                   เฉพาะเจาะจง อันสะท๎อนให๎เห็นจากองค์ประกอบสําคัญของกฎหมายอาญาฐานหมิ่นประมาทของที่จะต๎อง

                   ระบุตัวผู๎ถูกหมิ่นประมาทได๎ชัดเจน แตํสําหรับ “Hate  Speech”  ในแงํกฎหมายสิทธิมนุษยชนนั้น มิได๎มุํง
                   คุ๎มครองชื่อเสียงบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ แตํมุํงปูองกันกลุํมบุคคลที่มีลักษณะเฉพาะรํวมกัน เชํน เชื้อ
                   ชาติ สีผิว ศาสนา จากการถูกกีดกันหรือแบํงแยกในสังคม ซึ่งบุคคลในกลุํมเหลํานี้มักจะเป็นกลุํมบุคคลที่มัก

                   ถูกเลือกปฏิบัติในมิติอื่นๆด๎วย









                   435
                      พิรงรอง รามสูตร, ประทุษวาจา กับ โลกออนไลน์ (กรุงเทพ: โครงการจัดพิมพ์คบไฟ, 2558), หน๎า 31.
                   436  ในกฎหมายตํางประเทศ ขอบเขตความหมายของของ “Speech” ก็มีความหมายกว๎างกวํา “คําพูด” เชํน ในบริบทของ
                   รัฐธรรมนูญสหรัฐอเมริกา “Freedom of Speech” มีความหมายรวมถึงการแสดงออกในรูปแบบการใช๎คําพูด และการ
                   แสดงออกที่ไมํใช๎คําพูด (Non-speech) เชํน การใช๎พฤติกรรม สัญลักษณ์ ; คณาธิป ทองรวีวงศ์, กฎหมายเกี่ยวกับการ
                   สื่อสารมวลชน (กรุงเทพมหานคร: นิติธรรม, 2555), หน๎า 70-71.
   470   471   472   473   474   475   476   477   478   479   480