Page 346 - รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ เรื่อง กฎหมายว่าด้วยความเสมอภาคและการไม่เลือกปฏิบัติ
P. 346
322
รัฐธรรมนูญแหํงราชอาณาจักรไทย (คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ ฟ.26/2546) กรณีนี้จะเห็นได๎วํา
เกี่ยวข๎องกับความเทําเทียมกันในเชิงรูปแบบหรือเนื้อหา (Formal Equality) เนื่องจากสามารถเปรียบเทียบ
ได๎วํามติที่พิพาทสํงผลให๎เกิดความแตกตํางกันระหวําง ทศท ที่ได๎รับสิทธิพิเศษ ในขณะที่ผู๎ฟูองคดีไมํได๎รับ
สิทธิดังกลําว
- การกําหนดเงื่อนไขเพิ่มเติมในการขอใช๎ไฟฟูาสําหรับบุคคลบางกลุํม เป็นการเลือกปฏิบัติ (คํา
พิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.357/2549) กรณีนี้จะเห็นได๎วําเกี่ยวข๎องกับความเทําเทียมกันในเชิง
รูปแบบหรือเนื้อหา (Formal Equality) เนื่องจากโดยเนื้อหาของเงื่อนไขนั้นมีข๎อกําหนดเพิ่มเติมสําหรับ
บุคคลบางกลุํมในขณะที่บุคคลกลุํมอื่นไมํต๎องอยูํภายใต๎เงื่อนไขดังกลําว
- การแบํงลูกจ๎างเป็น 3 กลุํม ตามชํวงเวลาการสมัครเป็นสมาชิกกองทุนสํารองเลี้ยงชีพ และใหํสิทธิ
พิเศษเฉพาะกับลูกจ๎างบางกลุํม เป็นการเลือกปฏิบัติ (คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ148/2549) กรณีนี้
จะเห็นได๎วําเกี่ยวข๎องกับความเทําเทียมกันในเชิงรูปแบบหรือเนื้อหา (Formal Equality) เนื่องจากสามารถ
เปรียบเทียบได๎วําเนื้อหาข๎อกําหนดดังกลําวทําให๎เกิดความแตกตํางกันระหวํางลูกจ๎างที่ “เหมือนกัน”
จะเห็นได๎วํา โดยทั่วไปแล้วศาลพิจารณาหลักความเท่าเทียมกันในเชิงรูปแบบหรือเนื้อหา
(Formal equality) โดยมีหลักการพิจารณาวํา “องค์กรของรัฐจะต๎องไมํออกหลักเกณฑ์ให๎มีผลปฏิบัติที่
แตกตํางกันตํอบุคคลที่เหมือนกันในสาระสําคัญอยํางเดียวกัน รวมทั้งไมํออกหลักเกณฑ์ให๎มีผลปฏิบัติอยําง
เดียวกันตํอบุคคลที่แตกตํางกันในสาระสําคัญ” หรืออาจกลําวได๎วํา สิ่งที่เหมือนกันจะได๎รับการปฏิบัติที่
เหมือนกัน ในขณะที่สิ่งที่แตกตํางกันจะได๎รับการปฏิบัติที่แตกตํางกัน
อยํางไรก็ตาม ในบางกรณีมีข๎อนําพิจารณาวํา แม๎โดยรูปแบบหรือเนื้อหาแล๎ว กฎ หรือ คําสั่งที่
พิพาท มีความเทําเทียมกัน กลําวคือปฏิบัติตํอบุคคลที่เหมือนกันด๎วยความเหมือนกัน อันสอดคล๎องกับหลัก
ความเทําเทียมกันในเชิงรูปแบบหรือเนื้อหา (Formal Equality) แตํหากพิจารณาภายใต๎แนวคิดของหลัก
ความเทําเทียมกันเชิงสาระ (Substantive Equality) แล๎วอาจโต๎แย๎งได๎วํา กฎที่ดูภายนอกแล๎วปฏิบัติตํอทุก
คนเทําเทียมกันดังกลําว สํงผลกระทบทางลบ (Adverse Effect หรือ Detriment Effect) ตํอผู๎อ๎างวําถูก
เลือกปฏิบัติหรือไมํ เชํน กรณีกฎของสถานศึกษาที่กําหนดให๎ใช๎ภาษาอังกฤษในการเขียนวิทยานิพนธ์นั้น
ศาลเห็นวํา เป็นกฎที่ใช๎กับนักศึกษาทุกคนที่สมัครเข๎าศึกษาในสถาบันการศึกษาของผู๎ถูกฟูองคดีตาม
หลักการและเงื่อนไขตํางๆ เสมอเหมือนกันทุกคนไมํมีข๎อกําหนดใดที่จะทําให๎มีการเลือกปฏิบัติที่ไมํเป็นธรรม
โดยเกิดจากความแตกตํางตามมาตรา 30 ของรัฐธรรมนูญแหํงราชอาณาจักรไทยแตํอยํางใด (คําพิพากษา
ศาลปกครองสูงสุดที่ อ.9/2546) กรณีนี้เห็นได๎วํา โดยเนื้อหาของกฎเกณฑ์ที่พิพาทซึ่งให๎ใช๎ภาษาอังกฤษใน
การเขียนวิทยานิพนธ์นั้นใช๎บังคับกับนักศึกษาทุกคน มิได๎มุํงหมายใช๎กับนักศึกษาบางคนด๎วยเหตุแหํงการ
เลือกปฏิบัติ อยํางไรก็ตาม ในอีกแงํหนึ่งอาจโต๎แย๎งได๎วํา กฎเกณฑ์นี้แม๎ใช๎กับนักศึกษาทุกคนเหมือนกัน แตํ
สํงผลในทางปฏิบัติให๎นักศึกษาที่ใช๎ภาษาไทยเป็นภาษาหลักได๎รับความเสียเปรียบนักศึกษาที่ใช๎
ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก หรือ นักศึกษาที่มีความชํานาญในการเขียนภาษาอังกฤษ กับ นักศึกษาที่ไมํมี
ความชํานาญในการเขียนภาษาอังกฤษ จึงอาจขัดแย๎งกับหลักความเทําเทียมกันในเชิงสาระ รวมทั้งอาจ
พิจารณาวําเป็นการเลือกปฏิบัติโดยอ๎อมได๎ นอกจากนี้หากข๎อเท็จจริงปรากฏวํา กฎเกณฑ์ดังกลําวสํงผลให๎

