Page 322 - รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ เรื่อง กฎหมายว่าด้วยความเสมอภาคและการไม่เลือกปฏิบัติ
P. 322

298


                         166
                   บางคดี  ศาลตัดสินวํากฎหมายในลักษณะปกปูองคุ๎มครองเพศหญิง (กําหนดคําจ๎างขั้นต่ําสําหรับผู๎หญิง
                   โดยเฉพาะ) นั้นไมํชอบด๎วยกฎหมายเนื่องจากเป็นการขัดตํอเสรีภาพในการทําสัญญาของผู๎หญิง


                           ดังนั้นจะเห็นได๎วํา แนวคิดความเสมอภาคภายใต๎การปกปูองคุ๎มครอง แม๎วําในแงํหนึ่งจะเป็น
                   แนวทางสําหรับการแก๎ไขปัญหาของการพิจารณาความเสมอภาคเชิงรูปแบบโดยไมํคํานึงถึงความแตกตําง

                   กันระหวํางบุคคล แตํในอีกแงํหนึ่งก็อาจพิจารณาได๎วําอยูํบนพื้นฐานของแนวคิดที่มองบุคคลบางกลุํมใน
                   ลักษณะด๎อยกวําบุคคลอีกกลุํมหนึ่ง ลักษณะของแนวคิดเชํนนี้เกี่ยวข๎องกับ “การสร๎างภาพเหมารวม”
                   (Stereotyping)  ดังจะได๎จําแนกพิจารณาตํอไป นอกจากนี้กฎหมายในลักษณะปกปูองคุ๎มครองยังอาจ
                   กระทบเสรีภาพหรือสิทธิด๎านอื่นของบุคคลที่กฎหมายมุํงคุ๎มครองได๎ ดังเชํนคดีในสหรัฐอเมริกาดังกลําว

                   ข๎างต๎น



                           4.5.1.5 ความเสมอภาคหรือความเท่าเทียมเชิงสาระ (Substantive Equality)

                           ตามแนวคิดความเทําเทียมกันในเชิงรูปแบบ สํงผลให๎เกิดการปฏิบัติตํอบุคคลทุกคนเหมือนกัน โดย

                   ไมํคํานึงถึงความแตกตําง หรือที่เรียกวําการปฏิบัติที่เหมือนกันตํอกรณีที่เหมือนกัน (Equal Treatment of
                   Equal  Cases) ซึ่งแนวคิดนี้มีความสัมพันธ์กับการห้ามเลือกปฏิบัติโดยตรง (Direct  Discrimination)
                   อยํางไรก็ตาม การพิจารณาความเทําเทียมกันในเชิงรูปแบบนี้อาจทําให๎เกิดปัญหาความไมํเทําเทียมกันในผล

                   ที่เกิดหรือในสภาพความเป็นจริง (De Facto Equality) เนื่องจากมิได๎พิจารณาความแตกตํางในสาระสําคัญ
                   (Material  Difference)  ระหวํางสองสิ่งที่นํามาเปรียบเทียบกันนั้น ตัวอยํางเชํน การกําหนดกฎเกณฑ์
                   นโยบาย หรือ มาตรฐาน ที่เป็นกลางหรือเป็นสากลเพื่อใช๎กับบุคคลทุกคนเหมือนกัน (Universal
                   Standard)  อาจสํงผลให๎บุคคลบางกลุํมเสียเปรียบและถูกกีดกันจากโอกาสตํางๆ ในสังคมได๎ เชํน การ
                   กําหนดเกณฑ์รับสมัครงานเหมือนกัน แตํกลับสํงผลให๎คนพิการไมํสามารถมีโอกาสสมัครงานได๎ ดังนั้น จึง

                   เกิดแนวคิดการพิจารณาความเทําเทียมกันเชิงสาระ เพื่อลดผลกระทบอันทําให๎บุคคลเสียเปรียบดังกลําว
                   การพิจารณาความเทําเทียมกันในแงํมุมนี้มีความสัมพันธ์กับ แนวคิดความเทําเทียมกันภายใต๎การปกปูอง
                   คุ๎มครองดังกลําวข๎างต๎น นอกจากนี้ยังมีความสัมพันธ์กับการเลือกปฏิบัติโดยอ้อม (Indirect

                   Discrimination)  ด๎วย ดังนั้นการกําหนดกฎเกณฑ์ที่แตกตํางกันเพื่อให๎เกิดผลเทําเทียมในเชิงสาระนี้ จึง
                   สามารถทําได๎โดยไมํขัดตํอหลักความเสมอภาค เนื่องจากสามารถอธิบายได๎ด๎วยเหตุผลของความจําเป็นใน
                   การปกปูองคุ๎มครองบุคคลที่แตกตํางกัน อยํางไรก็ตาม ในอีกแงํหนึ่งยังอาจมีมุมมองที่โต๎แย๎งวํา ความเทํา
                   เทียมกันภายใต๎การปกปูองคุ๎มครองอันนําไปสูํความเทําเทียมกันในเชิงสาระนี้ อยูํบนพื้นฐานการพิจารณาวํา

                   บุคคลบางคนหรือบางกลุํม มีความด๎อยกวํา (Inferior) เมื่อเปรียบเทียบกับบุคคลอีกกลุํมหนึ่ง จึงสะท๎อนถึง
                   แนวคิดของการพิจารณาบุคคลที่ไมํเทําเทียมกันอยูํนั่นเอง ตัวอยํางเชํน การกําหนดให๎ลูกจ๎างชายเทํานั้นที่
                   จะทํางานกะกลางคืน ด๎วยเหตุผลเพื่อปกปูองคุ๎มครองลูกจ๎างหญิงจากภยันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากการ
                   เดินทางในเวลากลางคืน หากพิจารณาในอีกแงํหนึ่งจะเห็นได๎วํา กฎเกณฑ์นี้อยูํบนพื้นฐานแนวคิดวําผู๎หญิง




                   166
                      Adkins v. Children‖s Hospital 261 U.S. 525 (1922) 546 – 553
   317   318   319   320   321   322   323   324   325   326   327