Page 321 - รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ เรื่อง กฎหมายว่าด้วยความเสมอภาคและการไม่เลือกปฏิบัติ
P. 321

297


                           - รัฐธรรมนูญเนปาล จํากัดการได๎สัญชาติตามหลักสายโลหิตเฉพาะสืบสายจากบิดา รวมทั้งการที่
                   ชายตํางด๎าวสมรสกับหญิงเนปาลก็มีข๎อจํากัดในการได๎สัญชาติเนปาลด๎วย หลักของรัฐธรรมนูญนี้สืบเนื่อง
                                                                                    162
                   จากแนวคิดที่วําเพศหญิงไมํอาจมีความสามารถเกี่ยวกับสัญชาติที่อิสระจากสามี

                           - กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาของอินเดียกําหนดให๎เฉพาะผู๎ชายที่จะต๎องชําระคําอุปการะเลี้ยง

                   ดูแกํภริยา แตํมิได๎กําหนดหน๎าที่ดังกลําวให๎กับภริยา จะเห็นได๎วําหลักกฎหมายดังกลําวอยูํบนพื้นฐาน
                   แนวคิดวําฝุายหญิงเป็นฝุายที่ต๎องพึ่งพิงฝุายชายในทางเศรษฐกิจ กฎหมายดังกลําวถูกโต๎แย๎งวําขัดตํอหลัก
                   ความเสมอภาคตามรัฐธรรมนูญ แตํศาลในคดี Thamsi Goundani V. Kanni Ammal ตัดสินวํากฎหมายนี้
                   ใช๎กับผู๎หญิงทุกคนในสถานการณ์เชํนเดียวกัน กลําวคือ ผู๎หญิงที่ถูกสามีทอดทิ้ง จึงไมํเป็นการเลือกปฏิบัติ

                   จะเห็นได๎วําคําตัดสินอยูํบนพื้นฐานของความเสมอภาคเชิงรูปแบบ นอกจากนี้จากเหตุผลของศาลที่กลําววํา
                   “การปฏิบัติตํางกันตํอหญิงและชายเป็นเรื่องธรรมชาติ เนื่องจากผู๎หญิงเป็นเพศอํอนแอและต๎องการการ
                                                                                      163
                   ปฏิบัติเป็นพิเศษ” ยังสะท๎อนถึงแนวคิดความเสมอภาคภายใต๎การปกปูองคุ๎มครอง

                           - ศาลปากีสถานตัดสินวําการสมรสของหญิงโดยไมํได๎รับการอนุญาตจากบิดาหรือผู๎ปกครองของ
                   ฝุายหญิงเป็นโมฆะ อยํางไรก็ตามในปี 2003 ศาลสูงสุดพิพากษากลับ จึงอาจพิจารณาได๎วาศาลสูงสุดใช๎
                   แนวทางพิจารณาความเสมอภาคจากมาตรฐานเดียวกัน และแสดงให๎เห็นวําการปฏิบัติอยํางเทําเทียมหรือ

                   ความเสมอภาคในเชิงรูปแบบยังไมํสามารถแก๎ไขความไมํเทําเทียมเชิงระบบและโครงสร๎างในสังคมอีกทั้งยัง
                                                                              164
                   อยูํบนสมมุติฐานความแตกตํางทางเพศซึ่งมองผู๎หญิงในสถานะที่ด๎อยกวํา

                           ในบริบทของความแตกตํางทางเพศตามกฎหมายสหรัฐอเมริกานั้น พบวําในชํวงแรกฝุายสิทธิสตรี
                   เรียกร๎องให๎มีการปฏิบัติตํอหญิงเทําเทียมกับชายโดยเน๎นการปฏิบัติที่เหมือนกัน อันสอดคล๎องกับหลักความ
                   เสมอภาคเชิงรูปแบบ แตํในระยะตํอมามีการเรียกร๎องให๎ปฏิบัติที่แตกตํางกันรวมทั้งเรียกร๎องให๎มีการกําหนด
                   กฎหมายที่ปฏิบัติตํอผู๎หญิงเป็นพิเศษด๎วยเหตุผลเพื่อปกปูองคุ๎มครองโดยเฉพาะในมิติการจ๎างแรงงาน

                   เนื่องจากการปฏิบัติตํอลูกจ๎างชายและหญิงเหมือนกันกลับสํงผลให๎เกิดการเอาเปรียบลูกจ๎างหญิง
                                               165
                   ตัวอยํางเชํน ศาลสูงสุดตัดสินวํา  กฎหมายที่กําหนดเวลาทํางานของผู๎หญิงในอุตสาหกรรมซักรีดนั้นใช๎
                   บังคับได๎ โดยให๎เหตุผลวํา ผู๎หญิงมักจะพึ่งพาผู๎ชายและสภาพทางกายภาพของผู๎หญิงตลอดจนบทบาทความ

                   เป็นแมํได๎ทําให๎เพศหญิงเสียเปรียบในการดิ้นรนเพื่อการมีชีวิต โดยเฉพาะในกรณีที่เกี่ยวกับภาระความเป็น
                   มารดา ดังนั้น การดํารงสภาพทางกายที่สมบูรณ์ของผู๎หญิงจัดเป็นผลประโยชน์สาธารณะอยํางหนึ่งที่รัฐควร
                   ปกปูองคุ๎มครอง จะเห็นได๎วําคดีนี้ศาลรับรองกฎหมายที่สะท๎อนแนวคิดปกปูองคุ๎มครอง อยํางไรก็ตามใน





                   162
                      Ratna Kapur, Challenging the Liberal Subject : Law and Gender Justice in South Asia, in Gender
                   Justice, Citizenship and Development, eds. Maitrayee Mukhopadhyay and Navsharan Singh. (Zubaan
                   an imprint of Kali for Women, 2007), pp.143-144.
                   163  Ibid.
                   164  Ibid.
                   165
                      Muller v. Oregon 208 U.S. 412 (1908) 421-422
   316   317   318   319   320   321   322   323   324   325   326