Page 319 - รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ เรื่อง กฎหมายว่าด้วยความเสมอภาคและการไม่เลือกปฏิบัติ
P. 319

295


                   บุคคลตํอบุคคลอื่น และ ความไมํเทําเทียมเชิงระบบ (Systemic Inequality) ซึ่งพิจารณาจากผลที่เกิดขึ้น
                   อยํางไมํเทําเทียมกันอันเกิดจากสถาบันทางสังคม ผลดังกลําวนี้ยังคงสามารถเกิดขึ้นได๎แม๎ปราศจากอคติสํวน

                   บุคคลของบุคคล

                           ดังนั้นจะเห็นได๎วํา ความเสมอภาคหรือความเทําเทียมกันมีความหมายหลายนัย โดยพื้นฐานทั่วไป

                   แล๎ว ความเสมอภาคหมายถึงการปฏิบัติตํอบุคคลเหมือนกันโดยไมํคํานึงวําบุคคลที่ถูกปฏิบัตินั้นจะมีความ
                   แตกตํางกันอยํางไร โดยนัยนี้การปฏิบัติที่เทําเทียมกันหรือไมํเลือกปฏิบัติ อาจไมํสํงผลให๎เกิดความเทําเทียม
                   กัน ในทางตรงข๎ามยังอาจสํงผลให๎กลุํมบุคคลบางกลุํมเสียเปรียบกลุํมอื่น สําหรับความหมายของความเสมอ
                   ภาคเชิงระบบหรือเชิงโครงสร๎างนั้นมิได๎มุํงเน๎นที่การปฏิบัติซึ่งต๎องเหมือนกัน แตํมุํงผลที่ทําให๎บุคคลผู๎มีความ

                   แตกตํางกันได๎รับความเทําเทียมกันในการดํารงชีวิตมิติตํางๆทางสังคม ด๎วยเหตุนี้ ในการพิจารณาวํา
                   กฎเกณฑ์หรือมาตรการใดกระทบตํอหลักความเสมอภาคอยํางเป็นสากลหรือไมํ ก็จะเป็นการพิจารณาจาก
                   เนื้อหาของตัวกฎเกณฑ์นั้นๆวําปฏิบัติตํอบุคคลเหมือนหรือแตกตํางกัน หากมีหลักการที่ใช๎กับทุกคน
                   เชํนเดียวกันแล๎วก็ไมํขัดตํอหลักความเทําเทียมกันโดยนัยนี้ อยํางไรก็ตาม ในการพิจารณาวํากฎเกณฑ์หรือ

                   มาตรการนั้นสํงผลให๎เกิดความไมํเทําเทียมกันเชิงระบบ (Systematic  Inequality)  หรือไมํนั้น มิได๎จํากัด
                   เฉพาะการพิจารณาอยํางเจาะจงถึงมาตรการหรือกฎเกณฑ์อันใดอันหนึ่ง แตํจะพิจารณาเชิงโครงสร๎างหรือ
                   เชิงระบบโดยนําปัจจัยหลายปัจจัยมาประกอบการพิจารณาด๎วย



                           4.5.1.3 ความเสมอภาคเชิงรูปแบบ (Formal Equality)


                            แนวคิดและหลักการเกี่ยวกับความเสมอภาคหรือความเทําเทียมกันในเชิงรูปแบบ จะพิจารณาวํา
                   บุคคลทุกคนมีความเทําเทียมกัน ดังนั้น จึงต๎องได๎รับการปฏิบัติเชํนเดียวกัน หรือ เหมือนกัน บุคคลทุกคน
                   จะสามารถเข๎าถึงโอกาสตํางๆ ได๎เชํนเดียวกัน หรือมีสิทธิที่เหมือนกัน ดังนั้น หากบุคคลใดได๎รับการปฏิบัติที่

                   แตกตําง หรือไมํได๎รับสิทธิเชํนเดียวกับบุคคลอื่น ก็ถือวําเป็นการขัดตํอหลักความเทําเทียมกัน ตัวอยํางเชํน
                   กรณีการปฏิบัติด๎วยเหตุแหํงเพศนั้น กฎหมาย นโยบาย หรือแนวปฏิบัติที่มีเนื้อหาสาระแตกตํางกันระหวําง
                   เพศ กําหนดให๎สิทธิบางอยํางเฉพาะกับเพศใดเพศหนึ่ง ก็ถือวําขัดตํอหลักนี้ ด๎วยเหตุนี้ กฎหมายหรือ

                   นโยบายจึงต๎องมีลักษณะเป็นกลาง (Neutral)  กลําวคือวางหลักปฏิบัติที่เหมือนกันโดยไมํคํานึงถึงความ
                   แตกตํางด๎านตํางๆ ของบุคคล เชํน เพศ ศาสนา ความพิการ ฯลฯ หรืออาจเรียกได๎วํา บุคคลทุกคนจะต๎อง
                   อยูํภายใต๎มาตรฐานเดียวกัน (Single Standard) โดยไมํคํานึงถึงความแตกตํางในประเด็นตํางๆ ของบุคคล
                   ตัวอยํางเชํน การกําหนดให๎ลูกจ๎างชายเทํานั้นที่จะต๎องทํางานกะกลางคืน กรณีเชํนนี้จะเห็นได๎วํากฎเกณฑ์มี

                   รูปแบบที่แตกตํางกันระหวํางเพศ จึงขัดตํอหลักความเทําเทียมกันในเชิงรูปแบบ ภายใต๎หลักการนี้ กฎเกณฑ์
                   จะต๎องกําหนดให๎ลูกจ๎างทั้งหญิงและชายทํางานกะกลางคืน จึงเกิดความเทําเทียมกัน


                           การกําหนดกฎเกณฑ์ให๎เกิดความเป็นกลางหรือมาตรฐานเดียวกันสําหรับทุกคนโดยไมํคํานึงถึง
                   ความแตกตําง มีตัวอยํางอื่นๆ เชํน การกําหนดเวลาทํางาน เวลาพัก เหมือนกันสําหรับลูกจ๎างทุกคนโดยไมํ
                   คํานึงถึงความแตกตํางของลูกจ๎างหญิงซึ่งต๎องให๎นมบุตร การกําหนดกฎเกณฑ์ในการทํางานให๎ลูกจ๎างต๎อง
                   แตํงกายเหมือนกันโดยไมํคํานึงถึงความแตกตํางด๎านความเชื่อทางศาสนาที่ต๎องมีการสวมใสํอุปกรณ์
   314   315   316   317   318   319   320   321   322   323   324