Page 306 - รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ เรื่อง กฎหมายว่าด้วยความเสมอภาคและการไม่เลือกปฏิบัติ
P. 306

282


                   สิทธิเรียกเก็บคําธรรมเนียมตามกฎหมายที่เกี่ยวข๎อง จึงไมํปรากฏวํามีการละเมิดสิทธิมนุษยชน (รายงานผล
                   การพิจารณาที่ 1079/2558) กรณีนี้จะเห็นได๎วํา การเรียกเก็บคําธรรมเนียมพิเศษมิได๎เกี่ยวข๎องกับเหตุแหํง

                   การเลือกปฏิบัติ นอกจากนี้ยังอาจพิจารณาได๎วํา โรงเรียนดังกลําวเรียกเก็บคําธรรมเนียมนั้นกับนักเรียนทุก
                   คนจึงไมํเป็นการเลือกปฏิบัติ แตํมีประเด็นนําพิจารณาวําวําหากนําหลักการเลือกปฏิบัติโดยอ้อมมาพิจารณา
                   ถึงผลกระทบ (Effect) แล๎วจะมีนักเรียนบางคนที่อยูํในกลุํมเกี่ยวข๎องกับเหตุแหํงการเลือกปฏิบัติไมํสามารถ
                   เข๎าเรียนได๎หรือไมํ อยํางไรก็ตามเมื่อเปรียบเทียบกับโรงเรียนอื่นจะเห็นได๎วํา โรงเรียนในกรณีนี้มีลักษณะ

                   แตกตํางจากโรงเรียนอื่นที่ไมํเก็บคําธรรมเนียม

                           - กรณีผู๎ร๎องได๎ร๎องเรียนวําบุตรชายของผู๎ร๎องถูกสั่งพักการเรียนด๎วยเหตุไมํเหมาะสมและไมํเป็น

                   ธรรมตํอบุตรผู๎ร๎อง กรณีเหตุแหํงการพักการเรียนเกี่ยวข๎องกับ “พฤติกรรม”  ของนักเรียน คณะกรรมการ
                   สิทธิมนุษยชนเห็นวํา เป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อเด็ก (รายงานผลการตรวจสอบที่ 865/2555)
                   กรณีนี้มีข๎อนําสังเกตวํา การปฏิบัติที่พิพาทนั้นหากพิจารณาในบริบทของการเปรียบเทียบระหวํางการปฏิบัติ
                   ตํอเด็กผู๎นั้นกับการปฏิบัติตํอเด็กนักเรียนคนอื่น แล๎วจะเห็นได๎วํา มิได๎มีการเลือกปฏิบัติด๎วยเหตุที่เด็กซึ่งถูก

                   พักการเรียนนั้นเป็น “เด็ก”  แตํเหตุที่เด็กผู๎นั้นถูกปฏิบัติแตกตํางสืบเนื่องจาก “พฤติกรรม”  ซึ่งเหตุนี้มิได๎
                   เกี่ยวข๎องกับเหตุแหํงการเลือกปฏิบัติตามกฎหมายสิทธิมนุษยชน อยํางไรก็ตามกรณีนี้เป็นการตีความการ
                   เลือกปฏิบัติในกรอบของกฎหมายเฉพาะ คือ พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 มาตรา 22


                           - คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแหํงชาติเห็นวําการที่สํานักงาน ก.พ. ได๎อนุมัติในหลักการวํา การ
                   กําหนดตําแหนํงที่มีผลทําให๎คําใช๎จํายด๎านบุคคลของสํวนราชการเพิ่มขึ้น ให๎สํวนราชการนําตําแหนํงวํางที่มี
                   เงินมายุบเลิก และตํอมา สํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขได๎มีหนังสือขอยกเว๎นหลักเกณฑ์ดังกลําวใน

                   ตําแหนํงสายงานแพทย์และทันตแพทย์ โดยขอให๎การกําหนดตําแหนํงสูงขึ้นของทั้งสองตําแหนํงนี้เป็นระดับ
                   เชี่ยวชาญโดยไมํต๎องนําตําแหนํงวํางมายุบรวม ซึ่งสํานักงาน ก.พ.อนุมัติ ทําให๎ตําแหนํงสายงานแพทย์ไมํต๎อง
                   นําตําแหนํงวํางมายุบรวม เป็นกรณีที่ส านักงาน ก.พ. ปฏิบัติต่อบุคลากรต าแหน่งสายงานอื่นที่ท าหน้าที่

                   ให้บริการสาธารณสุขโดยไม่เป็นธรรม โดยเฉพาะระหวํางบุคลากรที่มีสถานะเป็นแพทย์ กับ บุคลากรที่มี
                   สถานะอื่น คือ ทันตแพทย์ เภสัชกร พยาบาลวิชาชีพ นักรังสีการแพทย์ ฯลฯ นอกจากนี้ การที่สํานักงาน
                   ปลัดกระทรวงสาธารณสุขได๎มีหนังสือขอให๎สํวนราชการในสังกัดระงับการใช๎ตําแหนํงวําง เพื่อนําตําแหนํง
                   วํางดังกลําวมาใช๎บรรจุแตํงตั้งนักเรียนทุนของรัฐบาลในสายงานแพทย์ และทันตแพทย์ ก็เป็นการปฏิบัติที่
                   ไม่เป็นธรรมต่อบุคลากรต าแหน่งสายงานอื่นที่ท าหน้าที่ให้บริการสาธารณสุข (รายงานผลการพิจารณาที่

                   1/2555) กรณีนี้จะเห็นได๎วํา กฎระเบียบของภาครัฐปฏิบัติตํอบุคคลแตกตํางกันด๎วยเหตุ “ตําแหนํงงาน” ซึ่ง
                   มีประเด็นวํา เหตุดังกลําวสามารถจัดอยูํในเหตุแหํงการเลือกปฏิบัติตามกฎหมายระหวํางประเทศได๎หรือไมํ
                   ทั้งนี้ในแงํหนึ่งอาจตีความวําจัดอยูํในความหมายของ “สถานะ” ของบุคคล แตํ ในอีกแงํหนึ่งอาจพิจารณา

                   ได๎วํา “ตําแหนํงงาน”  อาจเกี่ยวข๎องกับ “อาชีพ”  มากกวํา ซึ่งกฎหมายตํางประเทศบางประเทศ เชํน
                   ออสเตรเลียกําหนดให๎ “อาชีพ”  เป็นเหตุแหํงการเลือกปฏิบัติโดยเฉพาะ ในขณะที่อีกหลายประเทศ เชํน
                   แคนาดา รวมทั้งรัฐธรรมนูญแหํงราชอาณาจักรไทยที่ผํานมามิได๎กําหนด “อาชีพ” ไว๎เป็นเหตุแหํงการเลือก
                   ปฏิบัติเฉพาะ กรณีจากคําร๎องดังกลําวนี้จึงยังอาจอภิปรายกันได๎ตํอไป
   301   302   303   304   305   306   307   308   309   310   311