Page 296 - รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ เรื่อง กฎหมายว่าด้วยความเสมอภาคและการไม่เลือกปฏิบัติ
P. 296
272
รัฐธรรมนูญนําข๎อยกเว๎นมาพิจารณาวํากฎหมายนี้ “บังคับกับสามีและภริยาทั้งหมดที่มีเงินไดพึงประเมิน
เป็นการทั่วไป อยางเทําเทียมกัน..” แตํก็เป็นการใช๎บังคับโดยสร๎างความแตกตํางระหวํางเพศอยูํนั่นเอง
อยํางไรก็ตาม ศาลรัฐธรรมนูญก็ยอมรับวําการบังคับดังกลําว “กระทบตํอสิทธิและเสรีภาพของผู๎เป็นสามีอยูํ
บ๎าง” นอกจากนี้การที่ศาลนําข๎อยกเว๎นมาวินิจฉัยก็อาจมองได๎วําอันที่จริงแล๎วศาลเห็นวํากฎหมายดังกลําว
เป็นการปฏิบัติตํอบุคคลที่แตกตํางกันด๎วยเหตุแหํงเพศหรือสถานะของบุคคล โดยหลักแล๎วขัดตํอหลักความ
เทําเทียมกันแตํศาลชั่งน้ําหนักกับประโยชน์ของรัฐแล๎วเห็นวําเข๎าข๎อยกเว๎นอันทําให๎มีการปฏิบัติที่แตกตําง
กันได๎ แตํก็มีประเด็นนําพิจารณาตํอไปวํา การกําหนดให๎เฉพาะสามีนําเงินได๎ของภริยามารวมคํานวณ แตํ
ในทางกลับกันไมํให๎ภริยานําเงินได๎ของสามีไปรวมคํานวณกับเงินได๎ของตน ทําให๎เกิดประโยชน์มากน๎อย
แตกตํางกันเพียงใดในการจัดเก็บภาษีของรัฐ และมีผลกระทบตํอการบริหารจัดการภาษีของรัฐแตกตําง
อยํางไรหากกําหนดให๎สิทธิผู๎เสียภาษีอยํางเทําเทียมกันโดยสามารถเลือกระหวําง การให๎สามีนําเงินได๎ของ
ภริยาไปรวมกับสามี และ การให๎ภริยานําเงินได๎ของสามีมารวมกับภริยา
ในคดีที่สอง ได๎มีการยกประเด็นประมวลรัษฎากร มาตรา 57 ตรี มาสูํการพิจารณาของศาล
รัฐธรรมนูญอีกครั้งภายใต๎บทบัญญัติความเทําเทียมกันตามรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2550 ศาลรัฐธรรมนูญ
วินิจฉัยวํา “...ประมวลรัษฎากร มาตรา 57 ตรี ที่บัญญัติให๎สามีและภริยาที่อยูํรํวมกันตลอดปีภาษีที่ลํวง
มาแล๎ว ต๎องถือเอาเงินได๎พึงประเมินของภริยาเป็นเงินได๎ของสามี และให๎สามีมีหน๎าที่และความรับผิดในการ
ยื่นรายการและ เสียภาษี แตํถ๎ามีภาษีค๎างชําระและภริยาได๎รับแจ๎งลํวงหน๎าไมํน๎อยกวํา 7 วันแล๎วให๎ภริยา
รํวมรับผิดในการเสีย ภาษีที่ค๎างชําระนั้นด๎วย เป็นการไมํยุติธรรมสําหรับภริยา เพราะภริยาอาจไมํมีสํวนรู๎
เห็นในเรื่องการยื่นรายการเสียภาษีด๎วย และทําให๎สามีภริยาต๎องเสียภาษีเพิ่มขึ้นจากกรณีที่ตํางฝุายตํางแยก
ยื่นเมื่อยังไมํมีการสมรส ประกอบกับ มาตรา 57 เบญจ บัญญัติให๎แตํเฉพาะภริยาที่มีเงินได๎พึงประเมินตาม
มาตรา 40 (1) สามารถแยกยื่นรายการ และเสียภาษีตํางหากจากสามี โดยมิให๎ถือวําเป็นเงินได๎ของสามีตาม
มาตรา 57 ตรี จึงถือวําเป็นการไมํสํงเสริมความเสมอภาคของชายและหญิง และยังเป็นการเลือกปฏิบัติโดย
ไมํเป็นธรรมตํอบุคคลเพราะเหตุแหํงความแตกตําง ในเรื่องสถานะของบุคคลภายหลังจากการสมรสตามที่ได๎
บัญญัติไว๎ในรัฐธรรมนูญ มาตรา 30...” (คําวินิจฉัยศําลรัฐธรรมนูญที่ 17/2555) จะเห็นได๎วํา ในคดีนี้ศาล
รัฐธรรมนูญได๎ตัดสินอยํางสอดคล๎องกับหลักความเทําเทียมกันและการห๎ามเลือกปฏิบัติ เนื่องจากกฎหมาย
ดังกลําวกํอให๎เกิดความไมํเทําเทียมกันด๎วยเหตุแห่ง “สถานะของบุคคลภายหลังการสมรส”
- กรณีพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. 2508 ไมํได๎ให๎สิทธิแกํชายตํางด๎าวที่สมรสกับหญิงไทยในการที่
จะได๎สัญชาติ โดยการแปลงสัญชาติได๎เชํนเดียวกับหญิงตํางด๎าวที่สมรสกับชายสัญชาติไทยนั้น ศาล
รัฐธรรมนูญพิจารณาแล๎วเห็นวํา พระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. 2508 มาตรา 9 วรรคหนึ่งบัญญัติวํา “หญิง
ซึ่งเป็นคนตํางด๎าวและได๎สมรสกับผู๎มีสัญชาติไทย ถ๎าประสงค์จะได๎สัญชาติไทย ให๎ยื่นคําขอตํอพนักงาน
เจ๎าหน๎าที่ตามแบบและวิธีการที่กําหนดในกฎกระทรวง” เมื่อพิจารณาแล๎วไมํถือเป็นบทบัญญัติที่กํอให๎เกิด
ความไมํเสมอภาคกันใน กฎหมายระหวํางชายและหญิง หรือเป็นการทําให๎ชายและหญิงไมํได๎มีสิทธิเทํา
เทียมกันด๎วยเหตุที่เป็น มาตรการที่รัฐกําหนดขึ้นให๎เหมาะสมกับสภาพสังคมและความมั่นคงของประเทศ
ซึ่งมิได๎ตัดสิทธิของชายตํางด๎าวที่สมรสกับหญิงสัญชาติไทยก็อาจได๎สัญชาติไทยตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไข
ตามที่กฎหมายบัญญัติ คือมาตรา 10 11 และ 12 ซึ่งไมํได๎ยุํงยากและกํอให๎เกิดปัญหาในสถานะของบุคคล