Page 225 - รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ เรื่อง กฎหมายว่าด้วยความเสมอภาคและการไม่เลือกปฏิบัติ
P. 225

201


                   เลือกตั้ง โดยไมํเป็นธรรมและไมํมีเหตุผลอันอาจรับฟังได๎ อันขัดตํอหลักความเสมอภาค ตามรัฐธรรมนูญแหํง
                   ราชอาณาจักรไทย”


                           ในบางคดี มีประเด็นการพิจารณาแตํงตั้งเจ๎าหน๎าที่จากบุคคลที่อยูํในกลุํมแตกตํางกัน ศาลพิจารณา
                   วํา การแบํงกลุํมผู๎ถูกประเมินให๎อยูํตํางกลุํมกันนั้น หากมีการประเมินโดยใช๎เกณฑ์เดียวกัน ก็ไมํถือเป็นการ

                   เลือกปฏิบัติ ดังจะเห็นได๎จากคดีที่ ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวํา ในการประเมินแม๎มีการจัดแบํงข๎าราชการ
                   ออกเป็น 2 กลุํม ก็ตาม แตํก็ใช๎หลักเกณฑ์เดียวกันและพิจารณาครบถ๎วนตามหลักเกณฑ์ทุกด๎าน ซึ่งการ
                   เปรียบเทียบวัดคําคะแนนแยกกลุํมกันระหวํางข๎าราชการระดับ 8 กับระดับ 7 ยํอมเป็นธรรมกับข๎าราชการ
                   ในแตํละกลุํมแล๎ว ดังนั้น จึงเห็นวําการประเมินผลการปฏิบัติงานในการพิจารณาแตํงตั้งครั้งนี้ไมํเป็นการ

                   เลือกปฏิบัติที่ไมํเป็นธรรมตํอผู๎ฟูองคดีแตํอยํางใด (คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ที่ อ.134/2548) จะเห็น
                   ได๎วํา กรณีนี้เป็นการประเมินบุคคลที่จัดอยูํในสองกลุํมอันแตกตํางกัน เพื่อดํารงตําแหนํงเดียวกัน โดยใช๎
                   เกณฑ์เหมือนกัน จึงไมํเป็นการเลือกปฏิบัติ อยํางไรก็ตาม หากมีการประเมินบุคคลสองกลุํมที่แตกตํางกัน
                   โดยใช๎เกณฑ์ที่แตกตํางกัน เพื่อนํามาสูํการพิจารณาแตํงตั้งในตําแหนํงเดียวกัน อาจเป็นการเลือกปฏิบัติได๎


                           ในกรณีการยื่นคําขอดํารงตําแหนํงหนึ่ง ซึ่งคณะกรรมการมีมติให๎ผู๎ขอดํารงตําแหนํงบางรายต๎องทํา
                   การบางอยําง ในขณะที่ผู๎ขอดํารงตําแหนํงเดียวกันรายอื่นไมํต๎องทํานั้น ศาลเปรียบเทียบผู๎ขอดํารงตําแหนํง

                   รายอื่นเปรียบเทียบกันแล๎วเห็นวําผู๎ฟูองได๎รับการปฏิบัติที่แตกตํางในสาระสําคัญ ดังจะเห็นได๎จากคดีที่ศาล
                   ตัดสินวํา “การที่ผู๎ถูกฟูองคดีมีมติเห็นชอบให๎ผู๎ยื่นคําขอรายอื่นซึ่งดํารงตําแหนํงในลักษณะเดียวกันกับผู๎ฟูอง
                   คดีที่ยื่นคําขอในลําดับกํอนและหลังผู๎ฟูองคดี โดยมิได๎ให๎บุคคลดังกลําวจัดทําวิสัยทัศน์ประกอบการพิจารณา
                   แตํอยํางใด กรณีจึงเห็นได๎วํา ผู๎ถูกฟูองคดีได๎ปฏิบัติตํอบุคคลประเภทเดียวกันให๎แตกตํางกันในสาระสําคัญ

                   อันเป็นการเลือกปฏิบัติ” (คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.41/2552)

                           สําหรับประเด็นปัญหาวํา บุคคลคนเดียวกันได๎รับการปฏิบัติที่แตกตํางกันจากกฎเกณฑ์หรือคําสั่ง

                   ทางปกครอง จะเป็นการเลือกปฏิบัติหรือไมํนั้น ศาลพิจารณาคําสั่งแตํละกรณีวําอยูํภายใต๎เงื่อนไขและปัจจัย
                   ที่เหมือนกันหรือไมํ ดังตัวอยํางเชํน คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.61/2551 ศาลตัดสินวํา “การลงโทษ
                   ผู๎ฟูองคดีทั้งสองกรณีเกิดจากมูลเหตุตํางกัน การที่ผู๎ถูกฟูองคดี ได๎มีคําสั่งที่ 45/2545 ลงทัณฑ์กักขังจึงเป็น

                   คําสั่งไมํซ้ําซ๎อนกับคําสั่งกลําวตักเตือน  ประกอบกับกรณีดังกลําวเป็นไปตามระดับทัณฑ์มาตรฐาน ซึ่ง
                   ผู๎บังคับบัญชาได๎กําหนดไว๎ ซึ่งผู๎ถูกฟูองคดีก็ได๎นําหลักเกณฑ์ดังกลําวลงทัณฑ์ข๎าราชการรายอื่นที่มีความ
                   บกพรํองในลักษณะเดียวกันนี้มาแล๎ว กรณีจึงไมํถือวําเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไมํเป็นธรรม”


                            สําหรับกรณีการปฏิบัติตํอบุคคลแตกตํางกันด๎วยสาเหตุของวุฒิการศึกษานั้น มักจะเกิดขึ้นในมิติ
                   ของการจ๎างแรงงาน เชํน กรณีปัญหาวํา บุคคลที่จบการศึกษาปริญญาตรีโดยไมํได๎รับเกียรตินิยม กับ บุคคล
                   ที่จบการศึกษาปริญญาตรีเกียรตินิยมนั้น เป็นบุคคลที่ “เหมือนกัน”  หรือไมํ หากพิจารณาวําเป็นบุคคลที่

                   เหมือนกัน ก็จะสํงผลตํอไปวํา กฎที่ให๎สิทธิแกํบุคคลทั้งสองแตกตํางกัน จะเป็นการเลือกปฏิบัติ แตํหาก
                   พิจารณาวําเป็นบุคคลที่แตกตํางกัน ก็อาจทําให๎เกิดการปฏิบัติที่แตกตํางกันได๎ ในประเด็นนี้ศาลได๎วินิจฉัยไว๎
                   วํา บุคคลทั้งสองกลุํมนั้น “เหมือนกัน”  ดังนั้น กฎที่สํงผลให๎บุคคลทั้งสองกลุํมได๎รับการปฏิบัติแตกตํางกัน
                   จึงเป็นการเลือกปฏิบัติ ศาลได๎อธิบายไว๎วํา
   220   221   222   223   224   225   226   227   228   229   230