Page 104 - รายงานผลการปฏิบัติงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560
P. 104
บทที่ ๒ ผลการด�าเนินงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐
ข้อเสนอในการแก้ไขปรับปรุงกฎหมาย กฎ ระเบียบ หรือค�าสั่ง
เนื่องจากกฎหมายเพื่อคุ้มครองทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่บังคับใช้ในปัจจุบัน มีบทบัญญัติที่จ�ากัดสิทธิ
ในที่ดินและการจัดการทรัพยากรป่าไม้อย่างไม่เป็นธรรม ในเรื่องการหวงกันที่ดินที่ยังไม่มีผู้ได้สิทธิตามประมวลกฎหมาย
ที่ดินให้เป็น “ป่า” ทั้งหมด ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช ๒๔๘๔ และบังคับให้ราษฎรสละการครอบครองที่
รกร้างว่างเปล่า โดยผลของกฎหมายปิดปากตามมาตรา ๑๒ แห่งพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ รวมถึง
การไม่ให้สิทธิโต้แย้งคัดค้านไว้ในพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๔ และพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ บทที่ ๒
ป่า พ.ศ. ๒๕๓๕ จึงมีข้อเสนอเพื่อแก้ไขปรับปรุงกฎหมาย ดังต่อไปนี้
๑) พระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช ๒๔๘๔ โดยควรแก้ไขเปลี่ยนแปลงนิยามค�าว่า “ป่า” ให้สอดคล้องกับ
ลักษณะทางกายภาพและสภาพทางภูมิศาสตร์ โดยให้หมายถึงเฉพาะพื้นที่ขนาดใหญ่ ที่มีความชุ่มชื้น มีพันธุ์ไม้หลากชนิด
และมีระบบนิเวศที่ค่อนข้างสมบูรณ์ รวมถึงพื้นที่ที่มีกฎหมายโดยที่ราษฎรมีส่วนร่วมก�าหนดให้เป็นป่า
๒) พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ ในมาตราดังต่อไปนี้
๒.๑) มาตรา ๑๒ เห็นควรแก้ไข ดังนี้
๒.๒.๑) พิจารณาก�าหนดเงื่อนเวลายื่นค�าร้องจากเดิม ๑๒๐ วัน เป็น ๑ ปี นับแต่วันที่กฎกระทรวงนั้นใช้บังคับ
๒.๒.๒) แก้ไขความตอนท้ายของมาตรา ๑๒ จาก “...ถ้าไม่ยื่นค�าร้องภายในก�าหนดดังกล่าวให้ถือว่า
สละสิทธิหรือประโยชน์นั้น” เป็น “...ถ้าไม่ยื่นค�าร้องภายในก�าหนดดังกล่าว ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าสละสิทธิหรือประโยชน์
นั้น” ทั้งนี้ ไม่กระทบกระเทือนต่อสิทธิในการจัดการ บ�ารุงรักษา และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และ
ความหลากหลายทางชีวภาพอย่างสมดุลและยั่งยืนของชุมชน”
๒.๒) มาตรา ๑๓ เห็นควรยกเลิกความในวรรคแรกและใช้ข้อความต่อไปนี้แทน “เมื่อคณะกรรมการควบคุม
และรักษาป่าสงวนแห่งชาติประจ�าจังหวัดได้รับค�าร้องตามมาตรา ๑๒ แล้ว ให้สอบสวนตามค�าร้องนั้นประกอบภาพถ่ายทาง
อากาศและพยานหลักฐานอื่น ๆ ถ้าปรากฏว่าผู้ร้องได้ครอบครองท�าประโยชน์มาก่อนวันที่กฎกระทรวงก�าหนดป่าสงวน
แห่งชาตินั้นใช้บังคับให้คณะกรรมการดังกล่าวพิจารณาเสนอความเห็นต่อรัฐมนตรีให้เพิกถอนกฎกระทรวงเฉพาะพื้นที่ที่
ได้ครอบครองมาก่อนดังกล่าว เว้นแต่การเพิกถอนเช่นนั้นจะกระทบเสียหายต่อความสมดุลยั่งยืนของทรัพยากรธรรมชาติ
สิ่งแวดล้อมและความหลากหลายทางชีวภาพในสาระส�าคัญ ให้คณะกรรมการพิจารณาค่าทดแทนให้ตามสมควร” และ
๒.๓) มาตรา ๑๔ เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรา ๑๒ เห็นควรเพิ่มข้อความต่อไปนี้ใน (๓) ของมาตราดังกล่าวว่า
“(๓) พิสูจน์ได้ว่าครอบครองท�าประโยชน์ในบริเวณดังกล่าวมาก่อนวันที่กฎกระทรวงก�าหนดป่าสงวนแห่งชาตินั้นใช้บังคับ
และการกระท�าดังกล่าวไม่เสื่อมเสียแก่ความสมดุลและยั่งยืนของทรัพยากรธรรมชาติ”
๓) ส�าหรับเขตอุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และพื้นที่อนุรักษ์อื่น ๆ ควรแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติของ
กฎหมายเพื่อให้สิทธิในการยื่นค�าร้องและโต้แย้งคัดค้านท�านองเดียวกันกับมาตรา ๑๒ และมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติ
ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๐๗ ตามที่เสนอข้างต้นด้วย
ผลส�าเร็จ/ความก้าวหน้าในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน
ส�านักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี มีหนังสือ ด่วนที่สุด ที่ นร ๐๕๐๖/๑๖๙๐๔ ลงวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๖๐
แจ้งว่า รองนายกรัฐมนตรี (วิษณุ เครืองาม) สั่งและปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ได้มีค�าสั่งมอบหมายให้กระทรวง
ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นหน่วยงานหลักรับเรื่องไปพิจารณาร่วมกับ กระทรวงกลาโหม กระทรวงเกษตร
และสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย ส�านักงานต�ารวจแห่งชาติ ส�านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา กอ.รมน. และหน่วยงานที่
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ | 103