Page 198 - รายงานผลการประเมินสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย ปี 2560
P. 198
บทที่ ๖ การประเมินสถานการณ์ด้าน
สิทธิมนุษยชนใน ๕ ประเด็นร่วม
ศิลปวัฒนธรรมของท้องถิ่น สิทธิในการจัดการ บ�ารุงรักษา และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สิทธิ
ในการเข้าชื่อเสนอต่อหน่วยงานรัฐเพื่อด�าเนินการใด ๆ และสิทธิในการจัดให้มีระบบสวัสดิการชุมชน โดยการเข้าร่วมกับ
รัฐหรือองค์กรปกครองท้องถิ่น
นอกจากนั้น ยังก�าหนดให้เป็นหน้าที่ของรัฐที่จะต้องส่งเสริมและสนับสนุนให้ประชาชน ชุมชน มีส่วนร่วมในการ
ด�าเนินการของรัฐในโครงการใด ๆ ที่เกี่ยวข้องหรือมีผลกระทบต่อประชาชนหรือชุมชน ทั้งในเรื่องการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร
การแสดงความคิดเห็น และการด�าเนินการโครงการนั้น ๆ และหากเกิดความเสียหายหรือมีผลกระทบอย่างใด ๆ รัฐต้อง
จัดให้มีการเยียวยาความเดือดร้อนเสียหายนั้นอย่างเป็นธรรมโดยไม่ชักช้า (มาตรา ๕๗ มาตรา ๕๘ )
อย่างไรก็ตาม การยกเลิกบทบัญญัติสิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทยหลายประการ รวมทั้งสิทธิชุมชนซึ่งเดิมเคย
บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช
๒๕๕๐ และน�าไปบัญญัติไว้เป็นหน้าที่รัฐ เพื่อให้รัฐมีหน้าที่ด�าเนินการเรื่องเหล่านั้นให้แก่ประชาชน โดยประชาชนมิต้อง
อ้างใช้สิทธิในเรื่องดังกล่าว ทั้งนี้ ในกรณีที่รัฐไม่ท�าหน้าที่ ประชาชนสามารถฟ้องคดีต่อศาลรัฐธรรมนูญได้โดยตรง หรือ
ร้องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) ว่าเกี่ยวข้องจงใจไม่ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญก็ได้นั้น
แม้จะมีผลผูกพันให้รัฐต้องมีหน้าที่ แต่การเปลี่ยนหลักการบัญญัติรัฐธรรมนูญในลักษณะดังกล่าว ยังเป็นข้อสงสัยว่าจะท�าให้
การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนในทางปฏิบัติ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นหรือไม่
๑.๒ ข้อสังเกตโดยสรุปของคณะกรรมการประจ�ากติกา ICCPR
คณะกรรมการประจ�ากติกา ICCPR ได้มีข้อสังเกตสรุปรวม (Concluding Observations) ต่อประเทศไทย ในการ
ประชุมเพื่อรับฟังรายงานสถานการณ์สิทธิมนุษยชนของประเทศไทย รอบที่สอง ในข้อ ๗ เกี่ยวกับรัฐธรรมนูญและ
๓๘๐
กรอบทางกฎหมายว่า การออกค�าสั่งหัวหน้า คสช. โดยอาศัยอ�านาจตามมาตรา ๔๔ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ฉบับชั่วคราว พุทธศักราช ๒๕๕๗ จะต้องเคารพต่อกติกา ICCPR และจะต้องมีการเยียวยาผู้เสียหายที่ได้รับผลจากค�าสั่ง
ดังกล่าวอย่างจริงจัง กรณีมีการกระท�าที่เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนซึ่งเป็นผลจากค�าสั่งดังกล่าว
๑.๓ กฎหมายที่กระทบต่อสิทธิชุมชนและการจัดการทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม
ก. พระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน�้าไทย (ฉบับที่ ๑๗) พ.ศ. ๒๕๖๐
ประเทศไทยได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติ
การเดินเรือในน่านน�้าไทย (ฉบับที่ ๑๗) พ.ศ. ๒๕๖๐ เมื่อ
เดือนมกราคม ๒๕๖๐ โดยมาตรา ๑๘ ก�าหนดให้เจ้าของ
เรือหรือผู้ครอบครองสิ่งปลูกสร้างที่ล่วงล�้าล�าน�้า แจ้งถึง
ทรัพย์สินดังกล่าวของตนภายใน ๑๒๐ วัน และต้องขอรับใบ
อนุญาตตลอดจนช�าระค่าปรับในอัตรา ๕๐๐ - ๑๐,๐๐๐ บาท
และต้องเสียค่าตอบแทนเป็นรายปี ท�าให้กระทบต่อชุมชน
ริมน�้า ตลอดจนประชาชนที่ประกอบอาชีพประมง
โดยเฉพาะประมงเรือเล็กเป็นจ�านวนมาก (เฉพาะที่ ต�าบลหาดเล็ก บทที่
๖
อ่าวตราด จังหวัดตราด พบว่ามีพื้นที่ชุมชนชายฝั่ง ๘๑,๒๒๔ ตารางเมตร ประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ๓,๗๑๘ คน
๕๑๘ ครัวเรือน) ชุมชนหลายแห่งเป็นชุมชนดั้งเดิมที่ประกอบอาชีพประมงชายฝั่ง และลักษณะของวิถีชีวิตจ�าเป็นต้องตั้ง
บ้านเรือนริมน�้า โดยรัฐบาลยังไม่มีหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนในการพิจารณาอนุญาต และไม่มีการรับฟังความคิดเห็นจากผู้ได้รับ
ผลกระทบ ก่อนการออกกฎหมายดังกล่าว อีกทั้งยังไม่มีการก�าหนดมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบอย่างชัดเจน ๓๘๑
๓๘๑ ในการประชุมครั้งที่ ๓๔๔๙ และ๓๔๕๐ เมื่อวันที่ ๑๓-๑๔ มีนาคม ๒๕๖๐ และครั้งที่ ๓๓๖๔ เมื่อวันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๖๐.
๓๘๒ รายงานผลการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่ ๖๗๔/๒๕๖๐ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ.
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ | 197