Page 194 - รายงานผลการประเมินสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย ปี 2560
P. 194

บทที่ ๖ การประเมินสถานการณ์ด้าน
                                                                                             สิทธิมนุษยชนใน ๕ ประเด็นร่วม



            ตอบรับทันที ๑๘๗ ข้อ หนึ่งในนั้น คือ การเสนอให้ไทยพัฒนา รับรอง และบังคับใช้แผนปฏิบัติการแห่งชาติว่าด้วยธุรกิจ
            และสิทธิมนุษยชน (NAP) เพื่อปฏิบัติตามหลักการชี้แนะเรื่องสิทธิมนุษยชนส�าหรับธุรกิจของสหประชาชาติ (UNGPs)
                                                                                                            ๓๗๔
            ซึ่งกระทรวงยุติธรรมโดยกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพได้ด�าเนินการเพื่อจัดท�าแผนปฏิบัติการดังกล่าว อาทิ การจัดท�า
            รายงานประเมินสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในภาคธุรกิจ (National Baseline Assessment) ร่วมกับมูลนิธิมานุษยะ

            โดยการลงพื้นที่ระดับภูมิภาค ๔ ภูมิภาค เพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ด้านธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนส�าหรับ
            ใช้เป็นฐานข้อมูลในการจัดท�าแผนปฏิบัติการชาติฯ การประชุมร่วมกับผู้เชี่ยวชาญจากภูมิภาคอาเซียนเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้
            แนวทางการจัดท�าแผนปฏิบัติการชาติฯ โดยคาดว่าการจัดท�าแผนปฏิบัติการชาติฯ จะแล้วเสร็จภายในปี ๒๕๖๑ ซึ่งจะมี
            การเผยแพร่แผนปฏิบัติการชาติฯ จัดท�าคู่มือการด�าเนินการตามแผน และพิจารณาทบทวนแผนปฏิบัติการชาติฯ เป็นระยะ


































                  ส�าหรับการด�าเนินการของภาคธุรกิจ นั้น จากการประมวลข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ พบว่า แม้ภาคธุรกิจจะตื่นตัวเรื่อง

            สิทธิมนุษยชนมากขึ้น แต่ภาคธุรกิจที่ให้ความส�าคัญกับเรื่องสิทธิมนุษยชนจนถึงขั้นน�ามาตรฐานสากลด้านสิทธิมนุษยชน
            อาทิ หลักการชี้แนะฯ มาใช้ในกิจการของตนมีไม่มากนัก ดังเช่นข้อมูลจากงานวิจัยที่ส�ารวจประเด็นความรับผิดชอบต่อสังคม
            และสิ่งแวดล้อมจากบริษัทพลังงานที่ใหญ่ที่สุด ๑๐ อันดับ  โดยงานวิจัยระบุว่า ประเด็นเรื่องการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน
                                                           ๓๗๕
            อยู่ในระดับต�่าสุด และไม่มีบริษัทใดได้คะแนนปานกลาง เนื่องจากหลักเกณฑ์ปานกลาง คือการประเมินความเสี่ยงด้าน

            สิทธิมนุษยชนทั้งในบริษัทเองและในห่วงโซ่อุปทาน (supply chain) ของบริษัท ซึ่งไม่มีบริษัทใดระบุว่า มีการจัดท�าในปี
            พ.ศ. ๒๕๕๗  ส่วนประเด็นที่บริษัทโดยรวมได้คะแนนต�่าเป็นอันดับสองคือ การปฏิบัติที่เป็นธรรมต่อลูกจ้างเหมาช่วง
                       ๓๗๖
            (sub-contract) ซึ่งประเด็นนี้ บางบริษัทมองว่า เป็นความรับผิดชอบของผู้รับเหมาที่ว่าจ้างเหมาช่วงโดยตรง มิใช่ความ
            รับผิดชอบของบริษัท นอกจากนี้ งานวิจัยมีข้อสังเกตถึงคะแนนในหมวดผลกระทบต่อชุมชนซึ่งสูงกว่าหมวดการป้องกัน

            ผลกระทบต่อชุมชน กล่าวคือ ในภาพรวม ทุกบริษัทสามารถควบคุมปฏิบัติการระดับโรงงานให้มีความปลอดภัย และไม่ส่ง  บทที่
                                                                                                                   ๖
            ผลกระทบในสาระส�าคัญชุมชนใกล้เคียง แต่หลายบริษัทยังไม่ให้ความส�าคัญอย่างเพียงพอกับการเปิดให้ชุมชนมีส่วนร่วม
            กับการด�าเนินการเชิงรุก เพื่อบรรเทาความกังวลและเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการสื่อสาร เช่น การเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับ
            ผลกระทบจากโรงงานในภาษาที่ชาวบ้านเข้าใจง่าย เป็นต้น
                                                             ๓๗๗
            ๓๗๔  ข้อ ๔๘ โดยประเทศสวีเดน.
            ๓๗๕  ข้อมูลจากโครงการวิจัย เรื่อง “การประเมินระดับความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมของบริษัทพลังงานที่ใหญ่ที่สุด ๑๐ อันดับ เป็นการวิจัยที่ใช้ผลการทดสอบชุดตัวชี้วัดระดับความ
                รับผิดชอบโดยใช้ข้อมูลปี ๒๕๕๗  เป็นฐาน.
            ๓๗๖  ยกเว้นบริษัท ปตท. จ�ากัด (มหาชน) (PTT) ซึ่งระบุว่าจะจัดท�าในปี ๒๕๕๘ และตั้งเป้าจะด�าเนินการตามผลการประเมินในปี ๒๕๕๙.
            ๓๗๗  ส�านักข่าวอิศรา. (๒๕๖๐). ป่าสาละเผยผลวิจัยข้อมูล CSR บ.พลังงานพบประเด็นสิทธิมนุษยชนมีคะแนนต�่าสุด. สืบค้นจาก www.isranews.org/isranews-news/55213-news-55213.html

                                                                                คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ  | 193
   189   190   191   192   193   194   195   196   197   198   199