Page 162 - รายงานผลการประเมินสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย ปี 2560
P. 162
บทที่ ๕ การประเมินสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชน
ของบุคคล ๖ กลุ่ม
สิทธิของบุคคลที่ได้รับการส�ารวจและจัดท�ารายการบุคคลไปแล้วจ�านวนมาก ทั้งนี้ จากการคาดการณ์ของหน่วยงานรัฐ
๓๑๒
พบว่า มีจ�านวนบุคคลที่ตกหล่นจ�านวนมากกว่า ๒๐๐,๐๐๐ คน โดยแบ่งเป็นชนกลุ่มน้อย ๑๙ กลุ่ม ที่อพยพเข้ามาอาศัย
อยู่ในราชอาณาจักรเป็นเวลานาน และตกส�ารวจจากการด�าเนินการตั้งแต่ในปี ๒๕๔๒ ปี ๒๕๕๐ จนถึงการปิดการส�ารวจ
(วันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๔) ทั้งนี้ ยังพบข้อโต้แย้งเรื่องจ�านวนบุคคลที่ตกหล่น เนื่องจากมีการส�ารวจบุคคลต่อเนื่องตั้งแต่
ปี ๒๕๒๗ ท�าให้โอกาสที่บุคคลจะตกหล่นการส�ารวจมีไม่มากนัก ในขณะที่ประเทศไทยรับรองชนกลุ่มน้อยที่เข้ามาอยู่ใน
ประเทศไทยก่อนหรือภายในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๔๒ เท่านั้น ที่จะเข้าข่ายการเป็นชนกลุ่มน้อยที่ตกส�ารวจ (ในกรณีเด็ก
นักเรียน และบุคคลไร้รากเหง้า ต้องเข้ามาอยู่ในประเทศไทยก่อนหรือภายในวันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๔๘) แต่หลังจากที่มีการ
ประกาศให้แสดงตนแล้ว บุคคลที่มิได้แสดงตนจึงถูกจ�าหน่ายรายการบุคคลออกจากทะเบียนราษฎร (กลุ่มซึ่งควรเป็นบุคคล
ประเภทรหัส ๐ กลุ่ม ๘๙) มีจ�านวนมากกว่า ๑๕๐,๐๐๐ คน ซึ่งในกรณีที่บุคคลมีข้อโต้แย้ง (อาทิ ไม่ทราบข้อมูลข่าวสาร
หรืออื่น ๆ) ก็มีการตรวจสอบหลักฐาน พยาน และพิจารณาคืนรายการบุคคลในกรณีตรวจสอบได้เป็นรายกรณี กสม. เห็นว่า
การกระท�าดังกล่าวส่งผลกระทบต่อสิทธิของบุคคลที่ถูกเพิกถอนรายการบุคคลในขณะที่การด�าเนินการแก้ไขปัญหา หรือ
การตรวจสอบใด ๆ ซึ่งใช้ระยะเวลานาน
กรณีการแปลงสัญชาติส�าหรับบุคคลต่างด้าวที่เข้าเมืองโดยถูกต้องตามกฎหมาย โดยพิจารณาลักษณะของจุด
เกาะเกี่ยวส�าคัญ อาทิ การสมรสของหญิงต่างด้าวกับชายสัญชาติไทย (การถือทะเบียนสมรสนานกว่า ๓ ปี หรือมีทะเบียนสมรส
๑ ปีขึ้นไปกรณีมีบุตร ทั้งนี้ ชายสัญชาติไทยต้องมีรายได้ต่อเดือนตั้งแต่ ๒๐,๐๐๐ บาทขึ้นไป) หากมิใช่บุคคลที่เป็นชนกลุ่ม
น้อย ๑๙ กลุ่ม (ตามมติคณะรัฐมนตรี) ให้ยื่นค�าขอแปลงสัญชาติต่อต�ารวจสันติบาลในการด�าเนินการ ในส่วนของบุคคลตาม
มาตรา ๓๘/๒ จะเข้าข่ายเป็นบุคคลต่างด้าว (ที่มิใช่ชนกลุ่มน้อย) แต่เป็นบุคคลต่างด้าวเข้าเมืองโดยมิชอบด้วยกฎหมาย
๓๑๓
นอกจากนั้น คุณสมบัติของการขอแปลงสัญชาติตามการสมรส บุคคลจะต้องมีสถานภาพการสมรสคงอยู่จนถึงวันที่ได้รับ
สัญชาติ แต่หากเป็นบุคคลที่เป็นชนกลุ่มน้อย ๑๙ กลุ่ม (ตามมติคณะรัฐมนตรี) ให้ยื่นค�าขอที่ส�านักทะเบียนในพื้นที่ โดย
การขอแปลงสัญชาติ มีเอกสารมากกว่าการขอสัญชาติตามสามี เนื่องจากจะต้องมีใบถิ่นที่อยู่ (ใบต่างด้าว) การอยู่อาศัยใน
ราชอาณาจักรอย่างต่อเนื่องมากกว่า ๕ ปี การมีใบอนุญาตท�างาน (work permit) และการเสียภาษีต่อเนื่อง ๓ ปีติดต่อกัน
การมีรายได้ต่อเดือนตั้งแต่หรือมากกว่า ๘๐,๐๐๐ บาทขึ้นไป (เว้นแต่กรณีที่เป็นชนกลุ่มน้อยทั่วไป ก�าหนดให้ต้องมีรายได้
ต่อเดือน ๔๐,๐๐๐ บาท แต่หากเป็นคนต่างด้าวที่มีจุดเกาะเกี่ยวกับสัญชาติไทย ให้ลดลงเหลือกึ่งหนึ่ง) และมีขั้นตอน
หลังจากที่ยื่นเอกสารขอแปลง ที่จะต้องน�าเสนอตามขั้นตอนต่าง ๆ ยังมีขั้นตอนที่ยุ่งยาก และมากกว่าการขอสัญชาติตามสามี
ซึ่งส่งผลให้บุคคลที่มีปัญหาสถานะในกลุ่มที่ไม่สามารถมีคุณสมบัติตามข้อก�าหนดดังกล่าวต้องประสบปัญหาการเข้าถึง
สิทธิต่าง ๆ
บทที่
๕
กรณีการไร้รัฐและไร้สัญชาติ การด�าเนินการจะแยกออกจากกัน เนื่องจากมีกระบวนการแก้ไข และมีกฎหมาย
ที่แตกต่างกัน การไร้รัฐมีลักษณะข้อเท็จจริงอีกนัยหนึ่ง คือ การไร้เอกสารพิสูจน์ตน (undocumented) ซึ่งท�าให้บุคคลไม่มี
สิทธิทางแพ่ง เนื่องจากขาดสถานะบุคคลทางกฎหมาย (ขาดเอกสารมหาชนที่รับรองความสัมพันธ์กับรัฐ) ในขณะกลุ่มคน
ที่มีการเคลื่อนไหว/อพยพไปตามลักษณะการด�าเนินชีวิตก็จะเป็นบุคคลเร่ร่อน และกลายเป็นคนไร้เอกสารพิสูจน์ตน นอกจากนั้น
ยังมีบุคคลที่ปฏิเสธการจดทะเบียนสถานะบุคคล และบุคคลที่มีส�านึกเป็นไทยแต่ไม่มีเอกสารพิสูจน์ตน อีกทั้งยังมีบุคคล
๓๑๔
ต่างด้าวที่ไร้รัฐ (กลุ่มที่อพยพเข้ามาอยู่ในประเทศไทยนานแล้ว ตกส�ารวจ หรือไม่มีเอกสารพิสูจน์ตน) ในกรณีดังกล่าว
๓๑๒ เอกชัย ปิ่นแก้ว, รายงานสรุปการสัมมนาเชิงปฏิบัติการว่าด้วย “การจัดการปัญหาสถานะบุคคลและสัญชาติ” จัดโดยกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย และ UNHCR ระหว่างวันที่ ๕-๖
กันยายน ๒๕๖๐ ณ เวียงอินทร์ ริเวอร์ไซด์ รีสอร์ท จังหวัดเชียงราย
๓๑๓ มาตรา ๓๘/๒
๓๑๔ โดยเหตุผลต่าง ๆ อาทิ กรณีของบุคคลเร่ร่อนรู้ส�านึกตนตอนอายุ ๖ ปี ซึ่งมีจุดอ้างอิงถึงชุมชนที่บึงกาฬ ซึ่งอยู่ติดชายแดนไทย-ลาว (การสัมภาษณ์บุคลากรผู้ปฏิบัติงานของกรมการปกครอง
กระทรวงมหาดไทย วันที่ ๔-๕ สิงหาคม ๒๕๖๐)
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ | 161