Page 90 - รายงานการศึกษา ปัญหาและผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนจากนโยบายของรัฐบาลในการประกาศสงครามต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติด เมื่อปี พ.ศ. 2546
P. 90

๗๓




                   หากแต่เฉพาะคดีประเภทหลังนี้เท่านั้นที่เกี่ยวข้องกับการก่ออาชญากรรม (the  criminal  act) ในการ
                   เอาตัวบุคคลคนหนึ่งไปโดยฝืนต่อความประสงค์ของบุคคลนั้น และต่อจากนั้นจึงปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับชะตา

                   กรรมของบุคคลนั้น ในขณะที่บางคดี กรณีทั้งสองเกิดขึ้นทับซ้อนกัน (และการก าหนดรายการแยกระหว่าง
                   กัน (cross-listing) อาจเป็นสิ่งจ าเป็นหากลักษณะของคดีมีความแตกต่างกัน) ดังนั้น การรวมข้อมูลแห่ง
                   คดีทั้งสองประเภทไว้ด้วยกันโดยปราศจากการจ าแนกแยกแยะอาจส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพของ
                   ฐานข้อมูลในฐานะที่เป็นเครื่องมือในการสอบสวน และในฐานะที่เป็นวิธีการหนึ่งของแบบการระบุตัว
                   บุคคล (identifying  patterns) ซึ่งเป็นสิ่งส าคัญเพื่อการป้องกันปัญหา ประการที่สอง นิยามของค าว่า

                   “ผู้สูญหาย” (“disappeared”) ที่ใช้ในฐานข้อมูลคลุมเครือและไม่สอดคล้องกับมาตรฐาน
                   สิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ (international  human  rights  standards) จึงควรแก้ไขนิยามของ
                   ค าดังกล่าวให้ถูกต้องยิ่งขึ้น กล่าวคือ เป็นกรณีที่หลักฐานเบื้องต้นแสดงให้เห็นว่าบุคคลหนึ่ง

                   ถูกเอาตัวไปโดยขัดหรือฝืนต่อความประสงค์ของบุคคลนั้นและผู้กระท าการนั้นด าเนินการต่างๆ
                   เพื่อปกปิดชะตากรรมของบุคคลดังกล่าว ในกรณีที่หลักฐานเบื้องต้นท าให้เป็นการยากที่จะสรุปว่ากรณีที่
                   เกิดขึ้นตรงกับนิยามของผู้สูญหายหรือไม่ จะต้องมีการด าเนินการสอบสวนเบื้องต้น (preliminary
                   investigation) ก่อนที่จะก าหนดประเภทแห่งคดี (classifying  the  case) นอกจากนี้ การสูญหายของ

                   บุคคลยังแตกต่างไปจากการกระท าอันเป็นการบังคับให้บุคคลสูญหาย ซึ่งจะต้องมีสัญญาณหรือหลักฐาน
                   แสดงถึงการมีส่วนร่วมโดยตรงหรือโดยอ้อมของเจ้าหน้าที่ของรัฐ (the direct or indirect involvement
                   of state agents) อีกด้วย


                                         ๒.๒.๒ กำรปฏิบัติตำมข้อผูกพันตำมกฎเกณฑ์ระหว่ำงประเทศ
                                         ดังที่ได้กล่าวแล้วข้างต้น การบังคับบุคคลให้สูญหาย ( Enforced
                   disappearance) เป็นการกระท าอาชญากรรมที่ต้องห้ามตามกฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศ
                   และมีลักษณะเฉพาะของการกระท าที่แตกต่างไปจากอาชญากรรมระหว่างประเทศอย่างอื่น

                   การบังคับบุคคลให้สูญหายจึงเป็นการกระท าที่ฝ่าฝืนต่อกฎเกณฑ์อันเกี่ยวด้วยการคุ้มครอง
                   สิทธิมนุษยชนหลายฉบับในเวลาเดียวกัน ตามมติที่ประชุมข้าหลวงใหญ่แห่งสหประชาชาติปี ๑๙๗๘
                   การบังคับบุคคลให้สูญหายเป็นการกระท าที่ฝ่าฝืนต่อสิทธิของบุคคลในชีวิต (Right to life) เสรีภาพจาก

                   การถูกทรมาน (Freedom  from  torture) และเสรีภาพจากการถูกจับและควบคุมตัวโดยอ าเภอใจ
                   (Freedom from arbitrary arrest and detention) โดยนัยดังกล่าว การบังคับบุคคลให้สูญหายจึงเป็น
                   การกระท าอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงอันเป็นการต้องห้ามตามปฏิญญาสากลว่าด้วย
                   สิทธิมนุษยชน (Universal Declaration of Human Rights) กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมือง
                   และสิทธิทางการเมือง (International  Covenant  on  Civil  and  Political  Rights -  ICCPR) และ

                   อนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการประติบัติหรือการลงโทษที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ ายีศักดิ์ศรี
                   (Convention  against  Torture  and  Other  Cruel,  Inhuman  or  Degrading  Treatment  or
                   Punishment) ในส่วนที่เกี่ยวกับสิทธิของบุคคลในชีวิต สิทธิของบุคคลในเสรีภาพและความปลอดภัย

                   (Right to liberty and security of the person) สิทธิที่จะไม่เป็นวัตถุแห่งการทรมาน (Right not to
                   be  subjected  to  torture) และสิทธิในการได้รับพิจารณาตามกฎหมายในฐานะเป็นบุคคล (Right  to
   85   86   87   88   89   90   91   92   93   94   95