Page 81 - รายงานการศึกษา ปัญหาและผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนจากนโยบายของรัฐบาลในการประกาศสงครามต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติด เมื่อปี พ.ศ. 2546
P. 81
๖๔
Alvarado Espinoza (เดือนธันวาคม ค.ศ. ๒๐๐๙) ซึ่งพนักงานอัยการปฏิเสธที่จะลงบันทึกค าร้องของ
พี่สาวนาย Nitza และบอกว่าเธอต้องไปที่ส านักงานอัยการมลรัฐอีกแห่งหนึ่ง หากแต่เมื่อเธอไปยังสถานที่
ดังกล่าวแล้ว ไม่ปรากฏว่ามีพนักงานอัยการที่จะรับเรื่องร้องเรียน และกรณีการสูญหายไปของนาย
Roberto Ivan Hernandez Garcia และนางสาว Yudith Yesenia Rueda Garcia หรือกล่าวอ้างว่า
บุคคลนั้นต้องมีความเกี่ยวโยงกับกลุ่มอาชญากรรมจึงถูกกลุ่มอาชญากรรมจับหรือลักพาตัวไป
ดังตัวอย่างเช่นกรณีการสูญหายไปของนาย Hugo Marcelino Gonzalez Salazar (เดือนกรกฎาคม ค.ศ.
๒๐๐๙) และกรณีการสูญหายไปของนาย Oscar German Herrera Rocha กับเพื่อนร่วมทางอีกสามคน
(เดือนมิถุนายน ค.ศ. ๒๐๐๙) การกระท าหรือการกล่าวอ้างของเจ้าหน้าที่ของรัฐในกรณีต่างๆ เหล่านี้
ย่อมท าให้กระบวนการในการค้นหาหรือสอบสวนบุคคลต่างๆ ที่อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการสูญหายไปของ
บุคคลที่เป็นเหยื่อนั้นย่อมไม่อาจจะเริ่มด าเนินการได้
นอกจากนี้ แม้ในกรณีที่เจ้าหน้าที่ต ารวจหรือพนักงานสอบสวนด าเนินการสอบสวนเรื่อง
ร้องเรียนเกี่ยวกับผู้สูญหายก็ตาม ก็ยังปรากฏข้อเท็จจริงหรือหลักฐานว่า ในบางกรณี เจ้าหน้าที่ของรัฐท า
ให้หลักฐานส าคัญเกี่ยวกับการติดตามผู้สูญหาย หรือท าให้เกิดข้อผิดพลาดขึ้น ดังตัวอย่างเช่นกรณีการ
สูญหายไปของนาย Isafas Uribe Hernandez และนาย Juan Pablo Alvarado Oliveros ซึ่งเจ้าหน้าที่
ต ารวจไม่รีบเดินทางไปยังสถานที่เกิดเหตุและท าให้หลักฐานส าคัญถูกท าลายหรือเคลื่อนย้ายไป ไม่ท าการ
ตรวจสอบทางนิติวิทยาศาสตร์ (forensic science analysis) เกี่ยวกับเลือดและเอกลักษณ์ของบุคคล
(DNA) ที่ตรวจพบเพื่อเปรียบเทียบกับเอกลักษณ์ของบุคคล (DNA) ของบุคคลในครอบครัวของผู้สูญหาย
และท าให้ปลอกกระสุนซึ่งเป็นหลักฐานส าคัญแห่งคดีสูญหายไป ยิ่งกว่านั้น ยังปรากฏหลักฐานถึงขนาดที่
เจ้าหน้าที่ของรัฐท าหลักฐานอันเป็นเท็จขึ้นมาเองด้วย โดยการกล่าวเท็จว่าเจ้าหน้าที่ต ารวจได้สัมภาษณ์
ญาติคนหนึ่งของผู้สูญหาย และท าบันทึกการสัมภาษณ์เป็นเท็จ เนื่องจากไม่ปรากฏว่ามีญาติของผู้สูญหาย
ได้ให้สัมภาษณ์แก่เจ้าหน้าที่ต ารวจเลยแต่อย่างใด
ดังนั้น เมื่อได้พิจารณาข้อเท็จจริงต่างๆ ที่เกิดขึ้นในกรณีต่างๆ ของการสูญหายของ
ประชาชนชาวเม็กซิโกจ านวนมากมายดังที่ได้กล่าวข้างต้น ประกอบกับเงื่อนไขของกรณีการสูญหายของ
บุคคลที่จะมีลักษณะเป็นการบังคับบุคคลให้สูญหายตามนัยแห่งอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการ
คุ้มครองมิให้บุคคลถูกบังคับให้สูญหาย ค.ศ. ๒๐๐๖ ดังกล่าวข้างต้นแล้ว จึงกล่าวได้ว่ากรณีการสูญหาย
ของประชาชนชาวเม็กซิโกจ านวนมหาศาลนั้นเป็นกรณีของ “การบังคับบุคคลให้สูญหาย” อย่างแท้จริง
และ “มิใช่” เป็นเพียงการท าให้บุคคลสูญหายเป็นการเฉพาะรายหรือเฉพาะกรณีอันเป็นเพียงการกระท า
ความผิดอาญาทั่วไปแต่อย่างใด เนื่องจากกรณีการสูญหายของบุคคลต่างๆ เหล่านั้นเข้าเงื่อนไขทั้งสาม
ประการของการกระท าอันมีลักษณะเป็นการบังคับบุคคลให้สูญหาย ทั้งในส่วนที่เกี่ยวกับผู้กระท า ลักษณะ
ของการกระท า และผลของการกระท า กรณีจึงเป็นการก่อ “อาชญากรรมร้ายแรง” และเป็นการกระท า
อันเป็น “การละเมิดสิทธิมนุษยชน” ซึ่งต้องห้ามโดยเด็ดขาดตามกฎหมายและกฎเกณฑ์ระหว่างประเทศ
อนึ่ง หากการท าให้บุคคลสูญหายเป็นการเฉพาะรายหรือเฉพาะกรณี
(“Disappearance”) ก็ต้องเป็นการจับตัวหรือการกระท าที่ลิดรอนเสรีภาพอันขัดต่อความประสงค์ของ
บุคคลผู้เป็นเป้าหมาย และต้องมีการปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับชะตากรรมหรือสถานที่อยู่ของบุคคลนั้นด้วย
เช่นกัน ในท านองเดียวกับการบังคับบุคคลให้สูญหาย แต่อย่างไรก็ตามข้อแตกต่างประการส าคัญ คือ
การท าให้บุคคลสูญหายเป็นการเฉพาะรายเป็นการกระท าโดยบุคคลหรือกลุ่มบุคคล โดยไม่มีเจ้าหน้าที่ของ
รัฐเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องแต่ประการใด ในทางตรงกันข้าม หากเจ้าหน้าที่ของรัฐกระท าการนั้นเองหรือมี