Page 77 - รายงานการศึกษา ปัญหาและผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนจากนโยบายของรัฐบาลในการประกาศสงครามต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติด เมื่อปี พ.ศ. 2546
P. 77

๖๐




                                         อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาลงไปให้ละเอียดแล้ว จะเห็นได้ว่ากรณี
                   การสูญหายไปของบุคคลทั้งหลายในแต่ละกรณีต่างๆ ดังกล่าวข้างต้น แสดงให้เห็นถึง “ลักษณะเฉพาะ”

                   ของการด าเนินการในหลายประการดังที่ได้กล่าวแล้วข้างต้น อันสะท้อนถึงการกระท าอันเป็น “การบังคับ
                   บุคคลให้สูญหาย” “ยิ่งกว่า” การท าให้บุคคลสูญหายในลักษณะของการกระท าเฉพาะรายหรือเฉพาะกรณี
                   (isolated  cases) ที่ไม่มีความเกี่ยวพันหรือเกี่ยวเนื่องกับกรณีอื่นๆ ด้วยเหตุนี้ จึงมีความจ าเป็นที่จะต้อง
                   พิจารณาลักษณะที่แตกต่างกันระหว่างการท าให้บุคคลสูญหายอันเป็นการกระท าเฉพาะราย และการ
                   กระท าอันเป็นการบังคับบุคคลให้สูญหาย

                                          (๒.๒) ลักษณะที่แตกต่ำงกันระหว่ำงกำรท ำให้บุคคลสูญหำยและ
                   กำรบังคับบุคคลให้สูญหำย
                                         การกระท าอันเป็น “การบังคับบุคคลให้สูญหาย” (“enforced

                   disapperance”) เป็นการก่ออาชญากรรมร้ายแรง (a  serious  crime) อันเป็นการกระท าความผิด
                   ที่ต้องห้ามตามกฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศ  (customary  international  law)
                   และมีรากฐานมาจากกฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (international human rights law)
                   และกฎหมายเกี่ยวกับมนุษยชาติ (humanitarian        law) โดยนัยดังกล่าว การบังคับบุคคลให้

                   สูญหายนอกจากจะเป็นการกระท าอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนตามปฏิญญาสากลว่าด้วย
                   สิทธิมนุษยชนแล้ว การก่ออาชญากรรมเช่นนั้นยังเป็นการขัดต่อกฎเกณฑ์หรือกฎหมายระหว่างประเทศ
                   หลายฉบับในเวลาเดียวกัน  ไม่ว่าจะเป็นปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (Universal Declaration of
                   Human Rights)  กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (the International

                   Covenant  on  Civil  and  Political  Rights -  ICCPR)  และโดยเฉพาะอย่างยิ่งปฏิญญาแห่ง
                   สหประชาชาติ  ว่าด้วยการคุ้มครองมิให้บุคคลถูกบังคับให้สูญหาย ค.ศ. ๑๙๙๒ (the Declaration on the
                                                                                       ๗๘
                   Protection  of  All  Persons  from  Enforced  Disappearance  of  ๑๙๙๒)    และปัจจุบัน ได้แก่
                   อนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองมิให้บุคคลถูกบังคับให้สูญหาย ค.ศ. ๒๐๐๖

                   (the International Convention for the Protection of All Persons from Enforced Disappearance
                   of  ๒๐๐๖)  และยังมีอนุสัญญา Inter-  American  ว่าด้วยการบังคับบุคคลให้สูญหาย ค.ศ. ๑๙๙๔ (Inter-
                   American Convention on Forced Disappearance of Persons) อีกด้วย

                                         นอกจากนี้ การกระท าอันเป็นการบังคับบุคคลให้สูญหายยังอาจมีลักษณะเป็น
                                                                                  ๗๙
                   การก่อ “อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ” (“Crime  against  humanity”)  อันเป็นการต้องห้ามตาม
                   ธรรมนูญกรุงโรมว่าด้วยศาลอาญาระหว่างประเทศ (Rome Statute of the International Criminal
                   Court) (ธรรมนูญกรุงโรมฯ) อีกด้วย หากเข้าเงื่อนไขต่างๆ ตามที่ก าหนดไว้ในธรรมนูญกรุงโรมฯ ทั้งนี้
                   กฎหมายหรือกฎเกณฑ์ระหว่างประเทศทั้งสามฉบับดังกล่าวมีผลใช้บังคับทั้งภายในประเทศของรัฐภาคี

                   และในระดับระหว่างประเทศด้วย





                          ๗๘
                             ปฏิญญาดังกล่าวได้รับการรับรองจากที่ประชุมใหญ่แห่งสหประชาชาติ (the General Assembly of the
                   United Nations) ตามมติที่ ๔๗/๑๓๓ เมื่อวันที่ ๑๘ ธันวาคม ค.ศ. ๑๙๙๒; G.A. res. 47/133, 47 U.N. GAOR Supp.
                   (No. 49) at 207, U.N. Doc. A/47/49 (1992).
                          ๗๙
                             Rome Statute of the International Criminal Court, Article 5, par. 1 (b) and Article 7, par. 1 (i)
   72   73   74   75   76   77   78   79   80   81   82