Page 231 - รายงานการศึกษา ปัญหาและผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนจากนโยบายของรัฐบาลในการประกาศสงครามต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติด เมื่อปี พ.ศ. 2546
P. 231
๒๑๔
กับยาเสพติดตามกรอบระยะเวลาสามเดือนแห่งการปฏิบัติการให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลมากที่สุด
การจัดท าบัญชีรายชื่อผู้เกี่ยวข้องกับยาเสพติดจึงเป็นไปโดย “ไม่มีหลักเกณฑ์” และ “ไม่มีวิธีการตรวจสอบ”
ที่ชัดเจนและรอบคอบรัดกุม อันแสดงได้ว่าบุคคลที่มีชื่ออยู่ในบัญชีดังกล่าวเป็นผู้ผลิต ผู้ค้า หรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับ
ยาเสพติดโดยแท้จริงแต่อย่างใด ตลอดจน “ไม่มีหลักเกณฑ์” การเปิดโอกาสให้ผู้ที่เกี่ยวข้องสามารถใช้สิทธิ
โต้แย้งข้อมูลก่อนที่จะจัดท าเป็นบัญชีรายชื่อผู้เกี่ยวข้องกับยาเสพติดต่อไป และ “ไม่มีหลักเกณฑ์” การเก็บ
รักษาข้อมูลเกี่ยวกับผู้ที่ (ถูกสันนิษฐานว่า) เกี่ยวข้องกับยาเสพติดไว้เป็นความลับแต่อย่างใด
โดยนัยดังกล่าว นอกจากการจัดท าบัญชีรายชื่อผู้เกี่ยวข้องกับยาเสพติดจะมิได้ตั้งอยู่
บนพื้นฐานของพยานหลักฐาน (Evidence based) ที่ชัดเจนแน่นอนแล้ว การจัดท าบัญชีรายชื่อผู้เกี่ยวข้องกับ
ยาเสพติดยังถูกน ามาใช้เป็นเครื่องมือในการด าเนินการที่เป็นไปเพื่อตอบสนองวัตถุประสงค์หรือประโยชน์
ส่วนตัวของบุคคลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการในการจัดท าบัญชี หรือการแสวงหาประโยชน์อันมิชอบจาก
ข้อมูลในบัญชี อันเป็นการผิดวัตถุประสงค์ของการจัดท าบัญชีดังกล่าวและการใช้ประโยชน์ในข้อมูลที่ระบุไว้ใน
บัญชีดังกล่าวอีกด้วย
(๒.๒) การมุ่งเน้นการปฏิบัติการเพื่อลดจ านวนผู้ค้าและผู้เกี่ยวข้องกับยาเสพติดให้ได้
มากที่สุดตามเป้าหมายที่องค์กรของรัฐส่วนกลางก าหนด เพื่อให้เป็นไปตามเกณฑ์ชี้วัดที่ ศตส. มท. ซึ่งเป็น
องค์กรอ านวยการและก ากับดูแลก าหนดไว้โดยเคร่งครัด และการรายงานผลเกี่ยวกับการจับกุม การวิสามัญ
และการเสียชีวิตของบุคคลต่างๆ ที่มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อผู้เกี่ยวข้องกับยาเสพติด
โดยนัยดังกล่าว เจ้าหน้าที่ของรัฐจึงมุ่งเน้นไปที่จ านวนที่ลดลงของผู้ค้าหรือ
ผู้เกี่ยวข้องกับยาเสพติดที่มีชื่ออยู่ในบัญชีด าเป็นส าคัญ ด้วยเหตุนี้ เมื่อมีผู้เสียชีวิตในพื้นที่ต่างๆ เจ้าหน้าที่ของ
รัฐก็จะมุ่งเน้นไปที่การรายงานข้อมูลตัวเลขที่ลดลงของบุคคลที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดตามบัญชีรายชื่อ
ผู้เกี่ยวข้องกับยาเสพติดโดยทันที เพื่อแสดงต่อ ศตส. มท. ซึ่งเป็นองค์กรก ากับดูแลการปฏิบัติการตามนโยบาย
ของรัฐบาลว่าตนได้ปฏิบัติการให้เป็นไปตามเกณฑ์ชี้วัดที่ก าหนดไว้โดยเคร่งครัดเป็นส าคัญ หากแต่เจ้าหน้าที่
ของรัฐมิได้มุ่งเน้นที่การสืบสวนสอบสวนหรือการติดตามหาตัวผู้กระท าความผิดมาลงโทษแต่อย่างใด แม้การ
ฆาตกรรมหรือการกระท าให้บุคคลถึงแก่ความตายจะเกิดขึ้นใจกลางเมืองหรือกลางสี่แยกและในช่วงระหว่างวัน
อันแสดงให้เห็นถึงการกระท าที่อุกอาจและไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายบ้านเมืองก็ตาม ดังจะเห็นได้อย่างชัดแจ้ง
ในเรื่องร้องเรียนจ านวนมากที่เจ้าหน้าที่ต ารวจสันนิษฐานไว้ก่อนหรือมักจะกล่าวอ้างต่อสังคมหรือต่อสื่อมวลชน
โดยทันทีว่าการตายหรือการฆาตกรรมบุคคลเหล่านั้นเป็น “การฆ่าตัดตอน” กันเองระหว่างผู้ผลิตหรือผู้ค้า
ยาเสพติด ทั้งๆ ที่ยังมิได้มีการสืบสวนหาพยานหลักฐานอย่างชัดแจ้งแน่นอนที่สามารถยืนยันถึงข้อเท็จจริง
เช่นนั้นได้แต่อย่างใด อันเป็นการชักจูงให้สังคมและประชาชนส่วนรวมของประเทศเข้าใจว่าบุคคลที่เสียชีวิตนั้น
เกี่ยวข้องกับยาเสพติดและเสียชีวิตเนื่องจากการกระท าของผู้ผลิตหรือผู้ค้ายาเสพติดด้วยกันเอง
จึงกล่าวได้ว่า การน านโยบายในการท าสงครามขั้นแตกหักกับยาเสพติดของรัฐบาล
แปลงไปสู่การปฏิบัติการตามกระบวนการและขั้นตอนต่างๆ ข้างต้นโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐในระดับต่างๆ
จึงเป็นไปแต่เพียง ใน “เชิงรูปแบบ” เป็นส าคัญ เพื่อตอบสนองเป้าหมายตามเกณฑ์ชี้วัดผลส าเร็จของ
การปฏิบัติการแต่เพียงอย่างเดียวเป็นส าคัญ หากแต่ใน “เชิงเนื้อหา” แล้ว การปฏิบัติการต่างๆ กระท าไปโดย
ไม่มีการก าหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขของการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้อง เพื่อใช้เป็น
กรอบของการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความชอบธรรม (Legality) และความได้สัดส่วน (Proportionality)
ของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามหลักหลักนิติรัฐ-หลักนิติธรรม และหลักการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน