Page 225 - รายงานการศึกษา ปัญหาและผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนจากนโยบายของรัฐบาลในการประกาศสงครามต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติด เมื่อปี พ.ศ. 2546
P. 225

๒๐๘




                   ที่จะยอมรับอ านาจของศาลอาญาระหว่างประเทศส าหรับปัญหาการก่ออาชญากรรมร้ายแรงจากการ
                   ด าเนินนโยบายในการปราบปรามยาเสพติดของรัฐบาลที่มี พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี

                   เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๖ ได้ อันจะเป็นการแสดงเจตนาของประเทศไทยที่จะยอมรับอ านาจศาลอาญาระหว่าง
                   ประเทศส าหรับคดีดังกล่าวเป็นการเฉพาะเจาะจง
                                 อย่างไรก็ตาม การที่ประเทศไทยซึ่งยังมิได้เป็นภาคีของธรรมนูญกรุงโรมฯ จะเสนอเรื่อง
                   การก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติจากการด าเนินนโยบายในการประกาศสงครามต่อสู้เพื่อเอาชนะ
                   ยาเสพติดของรัฐบาลที่มี พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๖ ต่อศาลอาญา

                   ระหว่างประเทศได้นั้น กรณีจะต้องเป็นไปตามเงื่อนไขดังที่ก าหนดไว้ในข้อ ๑๒ วรรคสอง ดังที่ได้กล่าวแล้ว
                   ข้างต้น ได้แก่
                                 ประกำรที่หนึ่ง ศาลอาจใช้เขตอ านาจของตน หากรัฐดังต่อไปนี้รัฐใดรัฐหนึ่งหรือมากกว่า

                   เป็นภาคีของธรรมนูญศาลฯ นี้ หรือยอมรับเขตอ านาจของศาล
                                 - รัฐเจ้าของดินแดนซึ่งการกระท าที่เป็นปัญหาได้เกิดขึ้นในดินแดนหรือรัฐที่จดทะเบียน
                   เรือหรืออากาศยาน หากอาชญากรรมได้กระท าขึ้นบนเรือหรืออากาศยานดังกล่าว
                                 - รัฐซึ่งบุคคลที่ถูกกล่าวหาว่าประกอบอาชญากรรมถือสัญชาติ

                                 ประกำรที่สอง ศาลอาจใช้เขตอ านาจของตนตามกรณีข้างต้นได้ หากปรากฏว่า
                   อาชญากรรมหนึ่งหรือมากกว่าดังกล่าวซึ่งดูเหมือนว่าได้กระท าขึ้นได้รับการเสนอต่ออัยการโดยรัฐภาคี
                   (ข้อ ๑๔) หรืออัยการได้เริ่มการสืบสวนสอบสวนในส่วนที่เกี่ยวกับอาชญากรรมเช่นว่า (ข้อ ๑๕)
                                 เมื่อได้พิจารณาเงื่อนไขแห่งการแสดงเจตนาของประเทศไทยในการยอมรับอ านาจศาล

                   อาญาระหว่างประเทศดังกล่าวข้างต้นแล้ว จะเห็นได้ว่าการที่ประเทศไทยจะแสดงเจตนายอมรับอ านาจ
                   ศาลอาญาระหว่างประเทศได้นั้น จะต้องเป็นกรณีใดกรณีหนึ่งดังต่อไปนี้ กล่าวคือ กรณีที่หนึ่งมีรัฐภาคีของ
                   ธรรมนูญกรุงโรมฯ รัฐหนึ่ง (หรือมากกว่า) เสนอเรื่องดังกล่าวเป็นคดีต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ ซึ่งการ
                   กระท าความผิดอาญาเช่นนั้นเกิดขึ้นในดินแดนแห่งรัฐตน และในกรณีเช่นนั้น ประเทศไทยซึ่งมิได้เป็นภาคี

                   ของธรรมนูญกรุงโรมฯ จึงสามารถแสดงเจตนายอมรับอ านาจของศาลอาญาระหว่างประเทศตามวิธีการ
                   ที่ก าหนดไว้ในวรรคสามของข้อ ๑๒ ได้ หรือกรณีที่สอง ประเทศไทยแสดงเจตนายอมรับอ านาจของศาล
                   อาญาระหว่างประเทศเฉพาะคดีดังกล่าว (ad  hoc  acceptance) ภายหลังจากที่รัฐภาคีได้เสนอเรื่อง

                   ดังกล่าวไปยังศาลอาญาระหว่างประเทศ หรืออัยการ (ประจ าศาลอาญาระหว่างประเทศ) ได้เริ่มการ
                   สืบสวนสอบสวนคดีดังกล่าวเอง (proprio motu)
                                 ผลที่ตามมา เป็นดังนี้
                                 - ประเทศไทยไม่สามารถที่จะเสนอเรื่องดังกล่าวเป็นคดีอาชญากรรมร้ายแรง (ลักษณะ
                   อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ) ต่อศาลอาญาระหว่างประเทศโดยตรงแต่อย่างใด

                                 - ประเทศไทยจะแสดงเจตนายอมรับอ านาจศาลตามวิธีการที่ก าหนดในข้อ ๑๒
                                                                                    ๔๔๕
                   วรรคสาม ดังกล่าวข้างต้น ได้เมื่อเป็นกรณีอย่างใดอย่างหนึ่งในสองกรณีนี้  คือ เมื่อมีรัฐภาคีของ
                   ธรรมนูญกรุงโรมฯ รัฐใดรัฐหนึ่งเป็นผู้เสนอเรื่องดังกล่าวไปยังศาลอาญาระหว่างประเทศ หรือ

                   เมื่ออัยการเริ่มการสืบสวนสอบสวนคดีดังกล่าวเอง (proprio motu) เท่านั้น ในกรณีหนึ่งกรณีใดดังกล่าว

                          ๔๔๕
                               ความเห็นในท านองเดียวกัน โปรดดู José Doria, Hans-Peter Gasser, M. Cherif Bassiouni,  The
                   Legal Regime of the International Criminal Court, Martinus Nijhoff Publishers, Leiden-Boston 2009,
                   p. 439.
   220   221   222   223   224   225   226   227   228   229   230