Page 221 - รายงานการศึกษา ปัญหาและผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนจากนโยบายของรัฐบาลในการประกาศสงครามต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติด เมื่อปี พ.ศ. 2546
P. 221
๒๐๔
ฆาตกรรมหรือการฆาตกรรมด้วยมือของบุคคลนั้นเอง (“with one’s own hand”) ศาลอุทธรณ์โดย
ผู้พิพากษาฝ่ายข้างมากเห็นว่า “กระท าการ” (“committing”) อาจเกิดขึ้นได้เมื่อการกระท าของ
ผู้ถูกกล่าวหา “มีส่วนส าคัญถึงขนาดเป็นส่วนหนึ่งที่มิอาจแยกออกได้ของอาชญากรรมอันเป็นการท าลาย
ล้างเผ่าพันธุ์” (“as much an integral part of the genocide”) หรือการฆาตกรรมที่ท าให้เกิดขึ้น
และตัดสินว่านาย Athanase Seromba เป็น “ผู้กระท าความผิดหลักโดยอนุญาตและตัดสินใจด้วยตนเอง
ในการกระท าความผิด จึงสมควรถูกลงโทษฐานก่ออาชญากรรมอันเป็นการท าลายล้างเผ่าพันธุ์”
(“principal perpetrator”) ดังนั้น นาย Athanase Seromba ได้กระท าความผิดฐานก่ออาชญากรรม
อันเป็นการท าลายล้างเผ่าพันธุ์ เนื่องจากการกระท าของเขา (การปรากฏตัวของเขา ค าผรุสวาทของเขา
การอนุญาตและตัดสินใจของเขาที่จะให้ขับรถพุ่งชนท าลาย และการให้ค าสั่งของเขา) ฟังได้ว่าเป็นการ
กระท าส่วนหนึ่งที่มิอาจแยกออกได้ในการพุ่งชนท าลายโบสถ์ซึ่งมีลักษณะเป็นการก่ออาชญากรรมอันเป็น
การท าลายล้างเผ่าพันธุ์ ภายใต้ ความหมายที่กว้างขวางมากขึ้นของค าว่า “กระท าการ” (“committing”)
จึงไม่เกี่ยวข้องกับการที่นาย Athanase Seromba มิได้ขับรถเกรดดินซึ่งท าลายโบสถ์นั้นด้วยตนเอง
กรณีที่สอง: ผู้ก่ออาชญากรรมโดยกระท าความผิดร่วมกัน เป็นกรณีบุคคลหลายคน
กระท าความผิดอาญาร่วมกันหรือมีมากกว่าหนึ่งคน (Plurality of persons) และมีการวางแผนการ
กระท าความผิดหรือก่ออาชญากรรมร่วมกัน (Common plan) โดยผู้กระท าความผิดแต่ละคน
ต่างมีเจตนาหรือมูลเหตุจูงใจที่จะประกอบอาชญากรรมนั้นเป็นของตนเอง (Contribution) หรือมีเจตนา
ร่วมกันที่จะก่ออาชญากรรมนั้น (joint control) เมื่อการก่ออาชญากรรมนั้นได้กระท าส าเร็จหรือพยายาม
ประกอบอาชญากรรมนั้น บุคคลเหล่านั้นจะต้องรับผิดเป็นการส่วนบุคคลส าหรับอาชญากรรมที่กระท า
ร่วมกันนั้น
เมื่อได้พิจารณารูปแบบของความรับผิดของบุคคลที่ต้องรับผิดชอบในสองกรณีดังกล่าว
ข้างต้นแล้ว ประกอบกับข้อเท็จจริงและสภาพการณ์โดยรวมของการด าเนินนโยบายในการปราบปราม
ยาเสพติดของรัฐบาล พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ในปี พ.ศ. ๒๕๔๖ จะเห็นได้ว่า พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร
นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ซึ่งเป็น “ผู้ก าหนดนโยบาย” ในการประกาศสงครามต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติด
และประกาศนโยบายดังกล่าว ตลอดจนก าหนดระยะเวลาปฏิบัติการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามนโยบาย
ดังกล่าว อีกทั้งยังเป็น “ผู้สั่งการ” ให้บุคคลฝ่ายต่างๆ รับไปปฏิบัติการให้เป็นไปตามนโยบายในการ
ประกาศสงครามต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติดของรัฐบาลอย่างเคร่งครัดและพร้อมท าให้เจ้าหน้าที่ตกอยู่ใน
ภาวะกดดันอย่างรุนแรงที่จะต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามนโยบายดังกล่าวให้มากที่สุดและรวดเร็วที่สุด
โดยการมอบหมายและชี้แจงนโยบายในการปราบปรามยาเสพติดต่อหัวหน้าหน่วยงานและผู้บริหาร
ระดับสูงของฝ่ายปกครองระดับต่างๆ ซึ่งเห็นได้อย่างชัดแจ้งว่าการมอบหมายหน้าที่แก่เจ้าหน้าที่
ฝ่ายปกครองต่างๆ ดังกล่าว พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร “ก าหนดแนวทาง” การปฏิบัติตามนโยบายดังกล่าว
ซึ่งมีลักษณะของ “การชักจูง” ให้ใช้ความรุนแรงในการปฏิบัติการอย่างและไร้ความปรานีอันน าไปสู่การ
กระท าความผิดทางอาญาต่างๆ ซ้ าแล้วซ้ าเล่า โดยเฉพาะอย่างยิงการก่อให้เกิดการสูญเสียต่อชีวิต ร่างกาย
และทรัพย์สินของประชากรพลเรือนเป็นจ านวนมากครอบคลุมทุกภูมิภาคของประเทศไทย นอกจากนี้
พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ยังเคย “กล่าวยอมรับ” ว่า “การด าเนินนโยบายดังกล่าวอาจท าให้มีคนเสียชีวิต
บ้างก็เป็นเรื่องปกติ” อันแสดงให้เห็นว่า พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ผู้ก าหนดนโยบายดังกล่าว “รู้ถึง”
การฆาตกรรมหรือการเสียชีวิตของประชากรพลเรือนที่เกิดขึ้นอย่างกว้างขวางจากการด าเนินนโยบาย
ของตนเอง และมิได้พยามยามที่จะแก้ไขปัญหาความผิดพลาดที่เกิดขึ้นนั้นแต่อย่างใด กรณีจึงกล่าวได้ว่า