Page 215 - รายงานการศึกษา ปัญหาและผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนจากนโยบายของรัฐบาลในการประกาศสงครามต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติด เมื่อปี พ.ศ. 2546
P. 215

๑๙๘




                   ธรรมนูญกรุงโรมว่าด้วยศาลอาญาระหว่างประเทศนั้นแล้ว แต่เมื่อประเทศไทยยังมิได้ให้สัตยาบันหรือให้
                   ความยินยอมแก่ธรรมนูญกรุงโรมฯ อย่างเป็นทางการแต่อย่างใด ประเทศไทยจึงยังไม่มีความผูกพันที่

                   จะต้องปฏิบัติตามธรรมนูญกรุงโรมฯ ดังกล่าว และยังไม่อยู่ภายใต้เขตอ านาจของศาลอาญาระหว่าง
                   ประเทศที่จัดตั้งขึ้นตามธรรมนูญกรุงโรมฯ แต่อย่างใด
                                 แต่อย่างไรก็ตาม โดยที่การจัดท าสนธิสัญญาเป็นข้อตกลงระหว่างรัฐและเป็นการกระท า
                   ของรัฐซึ่งมีวัตถุประสงค์ต่อผลในทางกฎหมายให้สนธิสัญญามีผลผูกพัน ดังนั้น แม้ว่าสนธิสัญญาจะยังไม่มี
                   ผลใช้บังคับกับรัฐที่ลงนามในสนธิสัญญาก็ตาม แต่ย่อมต้องถือว่ารัฐนั้นย่อมมี “ความผูกพันทาง

                   ข้อเท็จจริง” หรือในทางปฏิบัติ (de facto) หรือ “พันธกรณีอันเกิดจากความประพฤติ” (Obligation of
                   conduct) ได้  ในอันที่จะต้องไม่กระท าการใดหรืออนุญาตให้มีการกระท าใดที่ขัดหรือแย้งหรือฝ่าฝืนต่อ
                   ข้อก าหนดในประการต่างๆ ดังที่ก าหนดไว้ในสนธิสัญญาหรือข้อตกลงระหว่างประเทศนั้นๆ ซึ่งแสดงถึง

                   “ความซื่อสัตย์สุจริต” ในความประพฤติของรัฐที่ลงนามในสนธิสัญญาหรือข้อตกลงระหว่างประเทศ ดังที่
                                                           ๔๒๐
                   ก าหนดไว้ในข้อ ๑๘ แห่งอนุสัญญากรุงเวียนนาฯ  กล่าวคือ รัฐจะต้องงดเว้นการกระท าใดๆ ที่อาจมีผล
                   ลบล้างวัตถุประสงค์ของสนธิสัญญา เมื่อรัฐนั้นได้ลงนามในสนธิสัญญาหรือได้แลกเปลี่ยนตราสารจัดท า
                   สนธิสัญญาภายใต้เงื่อนไขแห่งการให้สัตยาบัน การยอมรับ หรือการให้ความเห็นชอบ จนกว่ารัฐนั้นจะได้
                                                                ๔๒๑
                   แสดงเจตจ านงที่ชัดเจนว่าจะไม่เข้าเป็นภาคีสนธิสัญญา  หรือเมื่อรัฐนั้นได้แสดงความยินยอมที่จะผูกพัน
                   ตามสนธิสัญญา ก่อนที่สนธิสัญญาจะมีผลใช้บังคับและมีเงื่อนไขว่าจะไม่เลื่อนการมีผลใช้บังคับของ
                                          ๔๒๒
                   สนธิสัญญาออกไปโดยมิชอบ
                                 โดยนัยดังกล่าว แม้ประเทศไทยจะยังมิได้ให้สัตยาบันแก่ธรรมนูญกรุงโรมฯ แต่การ

                   ลงนามในธรรมนูญกรุงโรมฯ ย่อมน ามาซึ่งพันธกรณีในทางปฏิบัติของประเทศไทยที่จะต้องไม่กระท าการ
                   ใดๆ หรือยอมให้มีการกระท าการใดๆ อันจะก่อให้เกิดผลกระทบหรือเป็นอุปสรรคต่อวัตถุประสงค์หรือ
                   เป้าหมายของธรรมนูญกรุงโรมฯ อันเป็นพันธกรณีที่เกิดขึ้นตามหลักกฎหมายจารีตประเพณีระหว่าง
                   ประเทศซึ่งมีที่มาจาก “หลักสุจริต” (“Bona  Fide”)  การลงนามในธรรมนูญกรุงโรมฯ จึงแสดงถึง

                   “เจตจ านงในระดับหนึ่ง” ของประเทศไทยในลักษณะที่เห็นด้วยหรือเห็นชอบกับวัตถุประสงค์และสารัตถะ
                   ของธรรมนูญนั้น ประเทศไทยจึงต้องถูกพันตาม “หลักสุจริต” ที่จะต้องไม่กระท าการใดๆ หรือยอมให้มี
                   การกระท าใดๆ อันเป็นการขัดหรือกระทบต่อธรรมนูญกรุงโรมฯ ที่ได้ลงนามไว้

                                 (๑.๒) รูปแบบของควำมรับผิดของบุคคลที่ต้องรับผิดชอบ
                                 หลักการส าคัญของธรรมนูญกรุงโรมฯ คือ การน าตัวบุคคลที่ก่ออาชญากรรมร้ายแรง
                   ระหว่างประเทศอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานอย่างรุนแรงมาด าเนินคดีภายในเขตอ านาจ
                                                                              ๔๒๓
                   ศาลอาญาระหว่างประเทศ โดยเท่าเทียมกันและปราศจากการแบ่งแยก  ไม่ว่าบุคคลนั้นจะเป็นประมุข
                   ของรัฐ หรือผู้น ารัฐบาล สมาชิกของรัฐบาลหรือรัฐสภา ผู้แทนที่ได้รับการเลือกตั้ง หรือเจ้าหน้าที่รัฐบาล

                   ไม่ได้รับการยกเว้นจากความรับผิดทางอาญาตามธรรมนูญนี้ไม่ว่ากรณีใดและจะไม่เป็นมูลเหตุให้ลดหย่อน
                   โทษ ธรรมนูญกรุงโรมฯ จึงได้ก าหนดหลักความรับผิดทางอาญาของบุคคล โดยก าหนดไว้ในภาค ๓


                          ๔๒๐
                              Vienna Convention, Article 18. OBLIGATION NOT TO DEFEAT THE OBJECT AND PURPOSE
                   OF A TREATY PRIOR TO ITS ENTRY INTO FORCE
                          ๔๒๑  Vienna Convention, Article 18, paragraph 1.

                          ๔๒๒  Vienna Convention, Article 18, paragraph 2.
                          ๔๒๓  Rome Statute, Article 27 Irrelevance of official capacity, paragraph 1.
   210   211   212   213   214   215   216   217   218   219   220