Page 213 - รายงานการศึกษา ปัญหาและผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนจากนโยบายของรัฐบาลในการประกาศสงครามต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติด เมื่อปี พ.ศ. 2546
P. 213

๑๙๖




                   การด าเนินการ และผลกระทบของการปฏิบัติการหรือการด าเนินการของเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือบุคคลหรือ
                   กลุ่มบุคคล “ในองค์รวม” ตามพฤติการณ์ที่เกิดขึ้นตามเรื่องร้องเรียนต่างๆ ดังกล่าวข้างต้นแล้ว อาจกล่าว

                   ได้ว่าการปฏิบัติการหรือการด าเนินการของเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือบุคคลหรือกลุ่มบุคคลตามนโยบาย
                   ในการประกาศสงครามต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติด และน ามาซึ่งการสูญหายไปของประชาชนจ านวนหนึ่ง
                   นั้น “มิใช่” เพียงการบังคับบุคคลให้สูญหายเท่านั้น “หากแต่”  ยังมี “ลักษณะพิเศษ”ที่ “ยกระดับ”
                   การบังคับบุคคลให้สูญหายที่เกิดขึ้นนั้นให้มีลักษณะเป็นการก่อ “อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ” (Crime
                   against humanity) ซึ่งเป็นการก่อ “อาชญากรรมที่ร้ายแรง” และ “ต้องห้ามโดยเด็ดขาด” ตามธรรมนูญ

                   กรุงโรมฯ อีกด้วย เนื่องจากเข้าเงื่อนไขทั้งสองประการของการก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ กล่าวคือ
                   “เป็นส่วนหนึ่ง” ของการโจมตีหรือการประทุษร้าย (หรือการก่อให้เกิดผลกระทบ) แก่ประชากรพลเรือน
                   ในวงกว้างหรืออย่างเป็นระบบ และผู้สั่งการหรือผู้กระท าการ  “รู้ถึง”การโจมตีหรือการประทุษร้าย

                   (การก่อให้เกิดผลกระทบ) ในวงกว้างหรืออย่างเป็นระบบต่อประชากรพลเรือนเช่นนั้น
                                 ๔.๓ สรุปผลกำรพิจำรณำโดยรวม
                                 กล่าวโดยสรุปในส่วนนี้ได้ว่า การก่อให้เกิดการสูญเสียชีวิตหรือการสูญหายต่อประชากร
                   พลเรือนจากการด าเนินนโยบายในการปราบปรามยาเสพติด พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร จึงประกอบด้วย

                   องค์ประกอบส าคัญสองประการร่วมกันของความผิดฐานก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ ได้แก่ การกระท า
                   ความผิดอาญาสามัญ (the  individual  crime) เป็น “ความผิดพื้นฐาน” (เช่น การฆ่าคนตายโดยเจตนา
                   การบังคับบุคคลให้สูญหาย) และ  “บริบทแวดล้อม” ของการกระท าความผิดอาญาเหล่านั้น อันได้แก่
                   การโจมตีหรือการประทุษร้ายประชากรพลเรือนในวงกว้างและอย่างเป็นระบบ ซึ่งเป็นเสมือนวัตถุประสงค์

                   หรือเป้าหมายโดยรวมที่แท้จริงของการกระท าความผิดอาญาสามัญเหล่านั้น เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่
                   นโยบายของรัฐมุ่งหมายหรือมุ่งประสงค์เป็นส าคัญการด าเนินนโยบายในการประกาศสงครามต่อสู้เพื่อ
                   เอาชนะยาเสพติดของรัฐบาลที่มี พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี และก่อให้เกิดการโจมตีและ
                   การสูญเสียแก่ประชากรพลเรือนในวงกว้าง อย่างเป็นระบบ และเป็นขั้นเป็นตอน จึง “มีลักษณะเป็น”

                   การก่อ “อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ” ทั้งในลักษณะของการฆ่าคนตายโดยเจตนาและในลักษณะของการ
                   บังคับบุคคลให้สูญหายตามนัยและเจตนารมณ์แห่งธรรมนูญกรุงโรมฯ โดยแท้จริง
                                 โดยนัยดังกล่าว พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ซึ่งเป็นผู้ก าหนด

                   นโยบายในการประกาศสงครามต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติด และก าหนดแนวทางในการปฏิบัติการตาม
                   นโยบายดังกล่าวที่ขาดความชัดเจน โดยใช้ความรุนแรง และไม่ค านึงถึงหลักนิติรัฐและการคุ้มครองสิทธิ
                   เสรีภาพของประชากรพลเรือนอันเป็นสาเหตุที่น ามาซึ่งการสูญเสียต่อชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินของ
                   ผู้เสียหายซึ่งเป็นประชากรพลเรือนอย่างรุนแรงและอย่างกว้างขวาง จึงเป็นผู้ที่ต้องรับผิดชอบ
                   ต่อการก่ออาชญากรรมร้ายแรงจากการก าหนดและการด าเนินนโยบายดังกล่าว ในฐานก่อ “อาชญากรรม

                   ต่อมนุษยชาติ” ซึ่งเป็นการก่อ “อาชญากรรมร้ายแรงระหว่างประเทศ” มิใช่เพียงการกระท าความผิด
                   อาญาสามัญทั่วไปตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายภายในของประเทศไทยเท่านั้น
                                 กรณีดังกล่าว จึงคล้ายคลึงกับสภาพการณ์และปัญหาที่เกิดขึ้นกับการก าหนดและการ

                   ด าเนินนโยบายท าสงครามกับยาเสพติดของรัฐบาลที่มีนายเฟลิเป้ คาลเดรอน เป็นประธานาธิบดี ดังที่ได้
                   กล่าวแล้วข้างต้น ที่ด าเนินการในช่วงระยะเวลา ๖ ปี (ค.ศ. ๒๐๐๖ - ๒๐๑๒)  (พ.ศ. ๒๕๔๙ - ๒๕๕๕)
                   และท าให้มีผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและในวงกว้างทั่วประเทศเม็กซิโก
                   และน ามาซึ่งปัญหาการบังคับให้บุคคลสูญหาย (enforced  disappearance) ซึ่งเกิดขึ้นแก่ประชาชน
   208   209   210   211   212   213   214   215   216   217   218