Page 211 - รายงานการศึกษา ปัญหาและผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนจากนโยบายของรัฐบาลในการประกาศสงครามต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติด เมื่อปี พ.ศ. 2546
P. 211
๑๙๔
ภาระหน้าที่ระหว่างบุคคลที่สั่งการและบุคคลหรือกลุ่มบุคคลผู้ลงมือกระท าการ กล่าวคือ บุคคลผู้สั่งการ
ก็ดี หรือบุคคลหรือกลุ่มบุคคลผู้กระท าการจึงอาจจะรู้ถึงการด าเนินนโยบายของรัฐบาลในการปราบปราม
ยาเสพติด และรู้ว่าการกระท าความผิดอาญาของบุคคลหรือกลุ่มบุคคลผู้กระท าการในแต่ละกรณีเป็นเพียง
ส่วนหนึ่งของการโจมตีหรือการประทุษร้ายต่อประชาชนพลเรือนในวงกว้างหรืออย่างเป็นระบบ
ค. ผลกำรพิจำรณำ
การกระท าความผิดอาญาต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากการด าเนินนโยบายของรัฐบาล
ในการประกาศสงครามต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติด “เป็นส่วนหนึ่ง” ของการโจมตีหรือการประทุษร้าย
(หรือการก่อให้เกิดผลกระทบ) แก่ประชากรพลเรือนในวงกว้างหรืออย่างเป็นระบบอันเนื่องมากจาก
นโยบายของรัฐบาลในการประกาศสงครามต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติด อีกทั้งผู้กระท าหรือผู้สั่งการให้
กระท าการย่อมจะต้อง “รู้ถึง”การโจมตีหรือการประทุษร้าย (การก่อให้เกิดผลกระทบ) ในวงกว้างหรือ
อย่างเป็นระบบต่อประชากรพลเรือนเช่นนั้น อันเป็นการแบ่งภาระหน้าที่ระหว่างกันเท่านั้น
(๑.๒) กำรบังคับบุคคลให้สูญหำย (Enforced disappearance)
การบังคับบุคคลให้สูญหาย (Enforced disappearance) เป็นการก่อ
อาชญากรรมร้ายแรง (a serious crime) อันเป็นการกระท าความผิดที่ต้องห้ามตามกฎหมายจารีต
ประเพณีระหว่างประเทศ (customary international law) โดยเฉพาะอย่างยิ่งอนุสัญญาระหว่าง
ประเทศว่าด้วยการป้องกันบุคคลทุกคนจากการหายสาบสูญโดยถูกบังคับ ค.ศ. ๒๐๐๖ (International
Convention on the Protection of All Persons from Enforced Disappearance ๒๐๐๖)
นอกจากนี้ การกระท าอันเป็นการบังคับบุคคลให้สูญหายยังอาจมีลักษณะถึงขนาดเป็นการ
“ก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ” (“Crime against humanity”) อันเป็นการต้องห้ามตามธรรมนูญกรุง
โรมว่าด้วยศาลอาญาระหว่างประเทศ (The Rome Statute of the International Criminal Court)
อีกด้วย หากเข้าเงื่อนไขต่างๆ ตามที่ก าหนดไว้ในธรรมนูญกรุงโรมฯ ทั้งนี้ กฎหมายหรือกฎเกณฑ์ระหว่าง
ประเทศทั้งสองฉบับดังกล่าวมีผลใช้บังคับทั้งภายในประเทศของรัฐภาคี และในระดับระหว่างประเทศด้วย
ดังที่ได้กล่าวแล้วข้างต้น ตามเรื่องร้องเรียนหลายๆ เรื่อง ในการด าเนินนโยบายของรัฐบาลในการประกาศ
สงครามต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติด มีบุคคลเป้าหมายจ านวนไม่น้อยในพื้นที่ต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ชาวเขากลุ่มชาติพันธุ์ได้ “ถูกอุ้มหาย” หรือ “สูญหายไปอย่างไร้ร่องรอย” และยังไม่ทราบชะตากรรม
จนกระทั่งในปัจจุบัน กรณีจึงมีปัญหาที่จะต้องพิจารณาในที่นี้ คือ การด าเนินนโยบายของรัฐบาลซึ่งมี
พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี มีลักษณะเป็น “การบังคับบุคคลให้สูญหาย” เฉพาะรายหรือ
เฉพาะกรณีตามอนุสัญญาระหว่างประเทศฯ ดังกล่าวหรือไม่ หรือมีลักษณะถึงขนาดเป็น “การก่อ
อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ” ในลักษณะของการบังคับบุคคลให้สูญหาย ตามธรรมนูญกรุงโรมว่าด้วยศาล
อาญาระหว่างประเทศหรือไม่ อย่างไร
(๑.๒.๑) กำรบังคับบุคคลให้สูญหำยตำมอนุสัญญำระหว่ำงประเทศฯ
ก. หลักกฎหมำย
การสูญหายของบุคคลจะมีลักษณะเป็นการบังคับบุคคลให้สูญหายตามนัยแห่ง
อนุสัญญาระหว่างประเทศฯ จะต้องประกอบด้วยเงื่อนไขส าคัญสามประการประกอบกัน ได้แก่ ประการที่
หนึ่ง ผู้กระท าการ กล่าวคือ ผู้กระท าการอันเป็นการบังคับให้บุคคลสูญหายเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือ
บุคคลหรือกลุ่มบุคคลซึ่งได้รับอนุญาต การสนับสนุน หรือการยอมรับของรัฐ ประการที่สอง ลักษณะของ
การกระท า กล่าวคือ เมื่อได้จับกุม หรือควบคุมตัว หรือลักพาตัวบุคคลที่จะบังคับให้สูญหายแล้ว เจ้าหน้าที่