Page 212 - รายงานการศึกษา ปัญหาและผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนจากนโยบายของรัฐบาลในการประกาศสงครามต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติด เมื่อปี พ.ศ. 2546
P. 212
๑๙๕
ของรัฐหรือบุคคลที่ด าเนินการเช่นนั้นจะปฏิเสธไม่รับรู้การกระท าอันเป็นการลิดรอนเสรีภาพของบุคคล
หรือปกปิดชะตากรรมหรือสถานที่อยู่ของบุคคลผู้สูญหายนั้น และประการที่สาม ผลของการกระท า
กล่าวคือ การกระท าอันมีลักษณะเป็นการบังคับบุคคลให้สูญหายมีเป้าหมายเพื่อท าให้บุคคลผู้ถูกบังคับ
ให้สูญหายนั้นอยู่นอกการคุ้มครองของกฎหมาย
ข. ผลกำรพิจำรณำ
การด าเนินการของบุคคลหรือกลุ่มบุคคลโดยการอุ้มบุคคลเป้าหมายหายไป
หรือการท าให้บุคคลเป้าหมายสูญหายไปตามพฤติการณ์แห่งเรื่องร้องเรียนเข้าเงื่อนไขทั้งสามประการของ
การบังคับบุคคลให้สูญหายตามนัยแห่งอนุสัญญาระหว่างประเทศฯ ดังกล่าวข้างต้นทั้งสามประการ
กล่าวคือ เป็นการกระท าการของเจ้าหน้าที่ของรัฐในการปฏิบัติการเพื่อให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล
ในการปราบปรามยาเสพติด หรือการกระท าของบุคคลหรือกลุ่มบุคคลอันมีพื้นฐานมาจากแผนการ
ด าเนินการเพื่อให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลในการปราบปรามยาเสพติด เจ้าหน้าที่ของรัฐหรือบุคคล
หรือกลุ่มบุคคลผู้กระท าการปกปิดชะตากรรมหรือสถานที่อยู่ของบุคคลผู้ถูกบังคับให้สูญหายนั้น และมี
เป้าหมายเพื่อท าให้บุคคลนั้นอยู่นอกการคุ้มครองของกฎหมาย ดังนั้น การด าเนินการอุ้มบุคคลหรือท าให้
บุคคลสูญหายของเจ้าหน้าที่หรือบุคคลหรือกลุ่มบุคคลผู้กระท าการตามแผนการด าเนินการเพื่อให้บรรลุ
วัตถุประสงค์ตามนโยบายของรัฐบาลในการปราบปรามยาเสพติด จึงเป็นการบังคับบุคคลให้สูญหายตาม
นัยแห่งอนุสัญญาระหว่างประเทศฯ
(๑.๒.๒) กำรก่ออำชญำกรรมต่อมนุษยชำติโดยกำรบังคับบุคคลให้สูญหำย
ตำมธรรมนูญกรุงโรมฯ
ก. หลักกฎหมำย
การกระท าอันเป็นการบังคับบุคคลให้สูญหายเป็นการกระท าความผิดอาญา
ลักษณะหนึ่งของการก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติตามข้อ ๗ วรรคหนึ่ง (ฌ) แห่งธรรมนูญกรุงโรมว่าด้วย
ศาลอาญาระหว่างประเทศ โดยนัยดังกล่าว การกระท าอันเป็นการบังคับบุคคลให้สูญหายอาจมีลักษณะถึง
ขนาดเป็นการก่อ “อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ” (“Crime against humanity”) อันเป็นการต้องห้าม
ตามธรรมนูญกรุงโรมว่าด้วยศาลอาญาระหว่างประเทศ (The Rome Statute of the International
Criminal Court) อีกด้วย หากเข้าเงื่อนไขต่างๆ ตามที่ก าหนดไว้ในธรรมนูญกรุงโรมฯ กล่าวคือ การบังคับ
บุคคลให้สูญหาย“เป็นส่วนหนึ่ง” ของการโจมตีหรือการประทุษร้าย (หรือการก่อให้เกิดผลกระทบ)
แก่ประชากรพลเรือนในวงกว้างหรืออย่างเป็นระบบ และผู้กระท า “รู้ถึง”การโจมตีหรือการประทุษร้าย
(การก่อให้เกิดผลกระทบ) ในวงกว้างหรืออย่างเป็นระบบต่อประชากรพลเรือนเช่นนั้น
ข. ผลกำรพิจำรณำ
เมื่อได้พิจารณาข้อเท็จจริงต่างๆ เกี่ยวกับการสูญหายของบุคคลเป้าหมาย
จ านวนหนึ่งซึ่งเป็นประชากรพลเรือนตามเรื่องร้องเรียนต่างๆ ประกอบกับเงื่อนไขของกรณีการ
ก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติในลักษณะของการบังคับบุคคลให้สูญหายตามนัยแห่งธรรมนูญกรุงโรมฯ
ดังกล่าวข้างต้นแล้ว อาจกล่าวได้ว่า นอกจากกรณีการอุ้มหายหรือการท าให้บุคคลเป้าหมายสูญหายไปนั้น
จะเป็นกรณีของ “การบังคับบุคคลให้สูญหาย” อย่างแท้จริงแล้ว การกระท าเช่นนั้นยังมีลักษณะถึงขนาด
เป็นการก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติโดยการบังคับบุคคลให้สูญหาย ตามธรรมนูญกรุงโรมฯ อีกด้วย
กล่าวคือ การกระท าเช่นนั้น “มิใช่” เป็นเพียงการท าให้บุคคลสูญหายเป็นการเฉพาะรายหรือเฉพาะกรณี
อันเป็นเพียงการกระท าความผิดอาญาทั่วไปเท่านั้น หากแต่เมื่อพิจารณา “บริบทเฉพาะร่วมกัน” ของ